ภาพยนตร์โฆษณา - ต่อต้านคอร์รัปชั่น

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

จิตรกรรมไทย

  จิตรกรรมไทย   Thai  Painting
    จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพเขียนที่มีลักษณะเป็นแบบอย่างของไทย ที่แตกต่าง
จากศิลปะของชนชาติอื่นอย่างชัดเจน   ถึงแม้จะมีอิทธิพลศิลปะของชาติอื่นอยู่บ้าง
แต่ก็สามารถ ดัดแปลง คลี่คลาย ตัดทอน  หรือเพิ่มเติมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ
ตนเองได้อย่างสวยงาม ลงตัว น่าภาคภูมิใจ  และมีวิวัฒนาการทางด้านด้านรูปแบบ
และวิธีการมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปอีกในอนาคต
     ลายไทย  เป็นส่วนประกอบของภาพเขียนไทยใช้ตกแต่งอาคาร สิ่งของ เครื่องใช้
ต่าง ๆ เครื่องประดับ    ฯลฯ    เป็นลวดลายที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ  กันซึ่งนำเอารูปร่างจาก
ธรรมชาติมาประกอบ   เช่น    ลายกนก    ลายกระจัง     ลายประจำยาม   ลายเครือเถา
เป็นต้นหรือเป็นรูปที่มาจากความเชื่อและคตินิยม  เช่น รูปคน รูปเทวดา รูปสัตว์ รูป
ยักษ์  เป็นต้น
     จิตรกรรมไทยเป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดี
งามของชาติ มีคุณค่าทางศิลปะแลเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า เรื่องที่เกี่ยวกับ
ศาสนา  ประวัติศาสตร์  โบราณคดี   ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการแต่งกาย  ตลอด
จนการแสดงการเล่มพื้นเมืองต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกัน
เป็นภาพจิตรกรรมไทย  งานจิตรกรรมให้ความรู้สึกในความงามอันบริสุทธิ์น่าชื่นชม
เสริมสร้างสุนทรียภาพขึ้นในจิตใจมวลมนุษยชาติได้โดยทั่วไป  วิวัฒนาการของงาน
จิตรกรรมไทยแบ่งออกตามลักษณะรูปแบบทางศิลปกรรม    ที่ปรากฎในปัจจุบันมีอยู่
 2  แบบ คือ

1. จิตรกรรมไทยแบบประเพณี
(Thai Traditional Painting)
        เป็นศิลปะที่มีความประณีตสวยงาม แสดงความรู้สึกชีวิติจิตใจและความเป็นไทย
ที่มีความอ่อนโยน ละมุนละไม     สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต      จนได้ลักษณะ
ประจำชาติ มีลักษณะประจำชาติที่มีลักษณะ และรูปแบบเป็นพิเศษ       นิยมเขียนบน
ฝาผนังภายในอาคารที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา      และอาคารที่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง เช่น
โบสถ์  วิหาร  พระที่นั่ง  วัง บนผืนผ้า  บนกระดาษ   และบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง   ๆ
โดยเขียนด้วยสีฝุ่น  ตามกรรมวิธีของช่างเขียนไทยแต่โบราณ    เนื้อหาที่เขียนมักเป็น
เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตพุทธ  พุทธประวัติ  ทศชาติชาดก ไตรภูมิ วรรณคดีและชีวิตไทย
พงศาวดารต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมเขียนประดับฝนังพระอุโบสถ วิหารอันเป็นสถานที่
ศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธีทางศาสนา        ลักษณะจิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นศิลปะ
แบบอุดมคติ (Idealistic) ผนวกเข้ากับเรื่องราวที่กึ่งลึกลับมหัศจรรย์   ซึ่งคล้ายกับงาน
จิตรกรรมในประเทศแถบตะวันออกหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย  ศรีลังกา จีน และ
ญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นภาพที่ระบายสีแบนเรียบ ด้วยสีค่อนข้างสดใส   และมีการตัดเส้น
เป็นภาพ 2  มิติ ให้ความรู้สึกเพียงด้านกว้างและยาว ไม่มีความรู้และไม่มีการใช้แสง
และเงามาประกอบ    จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพ
แบบเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ตามผนังช่องหน้าต่าง   โดยรอบโบสถ์ วิหาร และผนังด้าน
หน้าและหลังพระประธาน  ภาพจิตรกรรมไทยมีการใช้สีแตกต่างกันออกไปตามยุค
สมัย ทั้งเกรงค์ และหหุรงค์ โดยเฉพาะการใช้สีหลาย ๆ    สีแบบพหุรงค์นิยมมากใน
สมัยรัตนโกสินทร์ เพราะได้สีจากต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายด้วย    ทำให้ภาพ
จิตรกรรมไทยมีความสวยงามและสีสันที่หลากหลายมากขึ้น
     รูปแบบลักษณะตัวภาพในจิตรกรรมไทยซึ่งจิตรกรไทยได้สร้างสรรค์ออกแบบไว้
เป็นรูปแบบอุดมคติที่แสดงออกทางความคิดให้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องและความสำคัญ
ของภาพ เช่น รูปเทวดา  นางฟ้า  กษัตริย์  นางพญา  นางรำ จะมีลักษณะเด่นงามสง่า
ด้วยลีลาอันชดช้อย     แสดงอารมณ์ความรู้สึกปิติยินดี หรือเศร้าโศกเสียใจด้วยอากัป
กิริยาท่าทาง  ถ้าเป็นรูปยักษ์ มาร ก็แสดงออกด้วยท่างทางที่บึกบึน แข็งขัน ส่วนพวก
วานรแสดงความลิงโลด  คล่องแคล่วว่องไวด้วยลีลาท่วงท่าและหน้าตา สำหรับพวก
ชาวบ้านธรรมดาสามัญก็จะเน้นความตลกขบขัน   สนุกสนานร่าเริงหรือเศร้าเสียใจ
ออกทางใบหน้า   ส่วนช้างม้าเหล่าสัตว์ทั้งหลายก็มีรูปแบบแสดงชีวิตเป็นธรรมชาติ
ซึ่งจิตรกรไทยได้พยายามศึกษา ถ่ายทอดอารมณ์   สอดแทรกความรู้สึกในรูปแบบได้
อย่างลึกซึ้ง เหมาะสม สวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจ
สมควรจะได้อนุรักษ์  สืบทอดให้เป็นมรดกของชาติสืบไป


2. จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย  (Thai  Contempolary  Painting)
        จิตรกรรมไทยร่วมสมัย  เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการของโลก
ความเจริญทางการศึกษา  การคมนาคม  การพาณิชย์  การปกครอง   การรับรู้ข่าวสาร
ความเป็นไปของโลกที่อยู่ห่างไกล ฯลฯ       เหล่านี้ล้วนมีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และ
แนวทางการแสดงออกของศิลปินในยุคต่อๆ มา  ซึ่งได้พัฒนาไปตามสภาพเวดล้อม                        
ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต  ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิด    และความนิยมในสังคม
สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ใหม่ของวัฒนธรรมไทยอีกรูปแบบหนึ่ง   อย่างมีคุณค่า
เช่นดียวกัน  อนึ่ง สำหรับลักษณะเกี่ยวกับจิตรกรรมไทยร่วมสมัยนั้น  ส่วนใหญ่เป็น
แนวทางเดียวกันกับลักษณะศิลปะแบบตะวันตกในลัทธิต่าง  ๆ   ตามความนิยมของ
ศิลปินแต่ะละคน








ความสำคัญของจิตรกรรมไทย                                                              
        จิตรกรรมไทยเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแบบสหวิทยาการ ถือได้ว่าเป็นแหล่งขุม
ความรู้โดยเฉพาะเรื่องราวจากอดีตที่สำคัญยิ่ง  แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชาติที่มี
อารยธรรมอันเก่าแก่ ยาวนาน ประโยชน์ของงานจิตรกรรมไทย นอกจากจะให้ความ
สำคัญในเรื่องคุณค่าของงานศิลปะแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านอื่น ๆ อีกมาก ดังนี้
1. คุณค่าในทางประวัติศาสตร์
2. คุณค่าในทางศิลปะ
3. คุณค่าในเรื่องการแสดงเชื้อชาติ
4. คุณค่าในทางสถาปัตยกรรม
5. คุณค่าในเชิงสังคมวิทยา
6. คุณค่าในด้านโบราณคดี
7. คุณค่าในการศึกษาประเพณีและวัฒนธรรม
8. คุณค่าในการศึกษาเรื่องทัศนคติค่านิยม
9. คุณค่าในการศึกษานิเวศวิทยา
10.คุณค่าในการศึกษาเรื่องราวทางพุทธศาสนา
11. คุณค่าในทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

การตรวจร่างกายเพื่อป้องกันโรค

การตรวจร่างกายเพื่อป้องกันโรคจริง

         _6031084                                                                                           Anti-Aging lab ปัจจุบันความเจริญของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เจริญขึ้นทำให้มนุษย์รอดตายจากโรคระบาดติดเชื้อ เช่น โรคอหิวา บาดทะยัก กาฬโรค เป็นต้น อีกทั้งมีความเข้าใจในการดำเนินชีวิตดีขึ้น มียาที่มีประสิทธิภาพ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีระบบป้องกันภัย ป้องกันโรคและการขนส่งที่ดีขึ้น ผลรวมทำให้มนุษย์เรามีอายุยืนขึ้นเมื่อมนุษย์มีอายุยืนมากขึ้นตามมา การตายที่เกิดจากโรคไม่ติดเชื้อเช่น โรคอ้วน โรคความดัน เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น ที่เรียกว่าโรคเรื้อรัง ถ้าหากมนุษย์เราไม่มีโรคเรื้อรังมาแทรก และคอยรักษาสุขภาพตัวเราเองให้ดี ไม่เป็นโรคเรื้อรัง มนุษย์เราจะมีอายุ 180 ปี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แนวโน้นของศตวรรษนี้ (Mega trend) การมีโรคเรื้อ ทำให้คุณภาพชีวิตไม่ดี บางคนต้องทนทุกข์ทรมานและในที่สุดก้อเสียชีวิต พร้อมกับเสียเงินทองมากมายโดยไม่เกิดประโยชน์เลย  ตลอดจนเป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคม สภาพการรักษาเมื่อเป็นโรคขั้นสุดท้ายหรือหนักแล้วเป็นการรักษาเพียงเพื่อความสบายใจว่าตัวเองได้ใช้เงินในการรักษาชีวิตตัวเองเต็มที่แล้วเท่านั้นเอง ดังนั้นการป้องกันโรคเรื้อรังซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเป็นโรคแล้วทำการรักษาซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและสิ้นเปลืองค่ารักษามากมายที่ไร้ประโยชน์ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว
          ท่านทราบหรือไม่ว่าโรคเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นโรคป้องกันได้โดยใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้องและหมั่นตรวจสุขภาพตนว่าเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหรือไม่ เพื่อจะได้ทำการป้องกันแต่เนิ่นๆแต่ปัจจุบันการตรวจเช็คร่างกายที่ทำกันทั่วไปบางอย่างไม่ได้มีประโยชน์ในการป้องกันโรค เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกแล้วเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต คนไข้จะไม่มีอาการผิดปกติหรือมีเพียงเล็กน้อย เมื่อมาพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บหน้าอกและตรวจพบว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย คนไข้อาจถึงขึ้นเสียชีวิตแบบกระทันหันเลยก็ได้ กรณีเส้นเลือดสมองตีบและแตกก็เช่นกันคนไข้อาจจะมีแค่ความดันสูงเพียงเล็กน้อยวันดีคืนร้ายก็อาจจะมาพบแพทย์ด้วยการปวดศีรษะหรือหมดสติกระทันหันและตรวจพบว่าเส้นเลือดแตกหรือตีบไปเสียแล้วเป็นสิ่งที่สายเกินไปที่จะทำการป้องกันเพราะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเซลล์สมองตายไปแล้วแต่การเป็นเส้นเลือดตีบตันสามารถป้องกันและรักษาได้
          ศูนย์สุขภาพดีอายุยืน รพ.พระราม 2 ตรวจเช็คสุขภาพซึ่งมีโปรแกรมการตรวจเช็คร่างกายตั้งแต่การตรวจ LAB และ X-Ray และตรวจอื่นๆ ที่เพื่อป้องกันโรคจริงๆ มีโปรแกรมตามความจำเป็นของแต่ละวัยแต่ละเพศแต่ละภาวะ ยกตัวอย่าง การตรวจฮอร์โมนอินซูลิน ที่โดยงดอาหารหลังเที่ยงคืนเพื่อดูว่าบุคคลนั้นมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือไม่เพราะคนที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานจะมีอินซูลินสูงโดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังปกติอยู่ การตรวจนี้อยู่ในโปรแกรมที่ 1 นอกจากนั้นเรายังมีโปรแกรมอื่นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
          1.การตรวจเช็คฮอร์โมนว่ามีระดับฮอร์โมนของแต่ละชนิดต่ำกว่าเกณฑ์หรือผิดปกติหรือไม่ ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยง,แก่ของร่างกายที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆซึ่งทั่วไปถ้าไม่ได้เจาะดูระดับฮอร์โมนจะทำให้การวินิจฉัยไม่ได้ และเมื่อทำการรักษาไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ มีแต่ประคับประคองอย่างเดียว  แต่ถ้าใช้ตรวจคัดกรองแบบเราแล้วใช้การรักษาแบบองค์รวมมีการใช้ยารักษาร่วมกับการใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้องและให้ฮอร์โมนเสริม จะทำให้รักษาโรคนั้นดีขึ้นหรืออาจจะหายกลับไปสู่ปกติได้
          2. การตรวจเช็คทูเมอร์มารค์เกอร์ ( Tumor marker) ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อตรวจดูว่ามีมะเร็งเริ่มต้นแฝงอยู่หรือไม่ เพราะมะเร็งระยะเริ่มต้นจะรักษาให้หายขาดได้
          3.การตรวจเส้นเลือดอุดตันโดยใช้เครื่อง Ultrasound ชนิดพิเศษโดยตรวจเส้นเลือดใหญ่ที่คอ (Carptod) ที่เรียกว่า CIMT ถ้าผิดปกติบ่งบอกว่ามีความเสี่ยงที่เส้นเลือดอื่นๆ ด้วยมีโอกาสอุดตันได้เช่นกัน โดยเฉพาะเส้นเลือดที่หัวใจ สมองและไต
          นอกจากการตรวจเส้นเลือดใหญ่โดยดู CIMT ว่าเส้นเลือดใหญ่อุดตันหรือไม่ เรายังทำการตรวจเส้นเลือดฝอยว่าอุดตันหรือไม่ โดยการตรวจปัสสาวะว่ามีไข่ขาว (Protein albumin) รั่วออกมาหรือไม่ ถ้าหากมีไข่รั่วออกมาซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยอุดตัน อนาคตบุคคลคนนี้ก็จะเกิดโรคไตวายและเสียชีวิตในที่สุด ถ้าเกิดไม่มีการเปลี่ยนไต ดังนั้นการรักษาเรื่องเส้นเลือดอุดตัน เราจะทำการรักษาให้เส้นเลือดกับมาสู่ปกติ
          4.การตรวจกระดูกได้แก่การตรวจด้วยเครื่อง DEXA เพื่อดูว่ามีโรคกระดูกพรุนหรือไม่และการตรวจ Bone Marker 1 2 3 เพื่อดูการสร้างและสลายกระดูกว่ามีการบกพร่องในการสลายกระดูกหรือมีการสลายกระดูกมากเกินไปเพื่อปัองกันโรคกระดูกพรุน เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบ เพราะกระดูกพรุนเป็นกระดูกที่เปราะหักง่าย เมื่อหักแล้วจะทำการรักษาลำบากเพราะกระดูกไม่มีคุณภาพ การผสานเซลล์กระดูกเองไม่ดีพอหลังผ่าตัดแล้วกระดูกที่หัก อาจจะไม่สามารถต่อเชื่อมกันได้ผู้ป่วยต้องนอนทุกข์ทรมานอยู่กับเตียงและเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน ถ้าหากผู้ป่วยมีโรคกระดูกพรุนเราสามารถทำการรักษาให้ดีขึ้นและแนะนำการป้องกันกระดูกหักได้
          5.การตรวจจีโนม การตรวจยายีนส์ที่อยู่ใน DNA เพื่อตรวจดูคนๆนั้น เพราะ DNA ในเซลล์เป็นผู้ควบคุมกรรมพันธุ์ว่าคนๆนั้นมีกรรมพันธุ์เสี่ยงต่อโรคอะไรบ้างเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่น เบาหวาน มะเร็งบางชนิด เป็นต้น
   การรักษาโรคเส้นเลือดอุดตัน
          Anti-Aging Medicine สำหรับโรคเส้นเลือดอุดตัน ประกอบด้วย
               1.ตรวจ CIMT เพื่อดูว่ามีภาวะเส้นเลือดอุดตันหรือไม่
               2.ตรวจ Atherosclerosis marker คือ ตรวจหาปริมาณวิตามินแร่ธาตุและฮอร์โมน ที่สำคัญในเลือด
               3.ถ้ามีการปวดอักเสบหรือมีการเสื่อมของกระดูก กระดูกอ่อน ข้อเอ็น เอ็น จะรักษาตามความเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและไม่เสื่อมมากขึ้น
               4.มีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม เสริมสะโพกเทียม และข้อเข่าไขสันหลังโดยใช้กล้อง

กินอยู่เพื่อสุขภาพ

แนวทางในการกินอยู่เพื่อสุขภาพ PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2010 เวลา 17:13 น.

โดย  ดร.สันทัด ศะศิวณิช

  ทุกคนต่างปรารถนาที่จะมีความสุข  คนไทยถือว่าปัจจัยสำหรับชีวิตมีอยู่ ๔ ประการ  แต่ชาวโลกถือกันว่าปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตมีอยู่ ๘ ประการ โดยถือว่าการมีสุขภาพดีและอายุยืนเป็นปัจจัยแรก  ถ้าเลือกทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  เหมาะสมต่อสภาพการณ์ในวิถีชีวิตของตนเองได้  สุขภาพจะดี  และชีวิตนี้มีสุข
  คำว่า สุขภาพ แปลตรง ๆ ว่า ภาวะแห่งความสุข ซึ่งกินความรวมไปถึงภาวะแห่งความสุข ทั้งทางกายและทางจิตได้อย่างกว้างขวางแทบจะไม่มีขอบเขตจำกัด ในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะแนวทางการใช้ชีวิตที่เกี่ยวกับการกินอยู่ที่เรียบง่ายและทำให้เรามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายดี  ที่ทุกคนอาจนำไปวิเคราะห์ว่าควรเลือกปฏิบัติตามวิธีที่เหมาะสมต่อวิถีชีวิตของตนเองได้หรือไม่ เพียงใด
  ความพอเหมาะพอดีเป็นเรื่องสำคัญ  แม้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แต่ถ้าขาดสุขภาพจิตที่ดีก็ถือว่ามีสุขภาพดีไม่ได้ และในทางตรงข้ามถ้าสุขภาพจิตดีแต่ละเลยการรักษาสภาพกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ตามสมควร  ก็ไม่เป็นการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง  สุขภาพทั้งสองด้านควรจะดีพร้อม  การจะมีสุขภาพดีได้เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับการพัฒนาบุคลิกภาพและการรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีประกอบกันไปด้วย
จิตและกายของมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์  ปัจจุบันศึกษาพบว่าจิตและสมองมนุษย์มีสมรรถนะสูง เหนือกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุด ถึง  ๔,๐๐๐  เท่า   และร่างกายของมนุษย์มีสมรรถนะสูงเช่นเดียวกัน  อย่างน้อยร่างกายสามารถทำนุบำรุงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในตนเองได้เป็นอย่างดี  เพียงแต่ขอให้มีสารวัตถุดิบ ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการทำนุบำรุงซ่อมแซมให้เพียงพอไม่ขาดหรือเกินเท่านั้น  
  ที่สำคัญ คือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว  จิตเป็นผู้นำ  กายเป็นผู้ตาม  ถ้าจิตมุ่งมั่น  กายจะปฏิบัติตามให้สอดคล้องเพื่อบรรลุเป้าหมาย   ถ้าได้พัฒนาสภาพจิตและสภาพกายให้สมบูรณ์เข้มแข็งสัมพันธ์กัน ชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข
  รูปลักษณ์ทางกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ  ตั้งแต่เกิดจนตาย ผันแปรไปตามวัฏจักรของชีวิต   แม้จะมีการประเมินว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์น่าจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ  ๑๐๐ ปี  โดยคำนวณตามเกณฑ์ธรรมชาติของสัตว์โลก ที่ถือเอาอายุเมื่อร่างกายแข็งแรงที่สุดคูณด้วย ๕ เป็นอายุขัยโดยประมาณ   ซึ่งเมื่อประเมินว่าร่างกายของมนุษย์แข็งแรงที่สุดเมื่ออายุ  ๒๐ ประมาณปีเศษเล็กน้อย  อายุขัยของมนุษย์จึงน่าจะอยู่ที่ราว ๆ   ๑๐๐ ปี  แต่อายุของแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากัน   ขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน  และความมุ่งมั่นในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอยู่อย่างสม่ำเสมอและให้ทันพัฒนาการของโลกที่กำลังเข้าใจวิธีการกินอยู่ที่ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติได้ยิ่งขึ้น
  องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเมื่อกลางปี พ.ศ.๒๕๔๕  ว่า  แต่เดิมเกณฑ์อายุเฉลี่ยของประชากรโลก คือ  ๕๙  ปี    บัดนี้ เกณฑ์เฉลี่ยอายุของประชากรโลกได้เพิ่มขึ้นเป็น ๖๙ ปี แล้ว  และคาดหวังว่า อีก ๖๐ ปีข้างหน้าเกณฑ์อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะยืนยาวถึง  ๑๐๐ ปี    ยิ่งกว่านั้น เมื่อสิงหาคม ๒๕๔๙ ได้มีการคาดหวังกันทั่วโลกว่า ในปี พ.ศ.๒๕๖๗ ประชากรโลกจะมีอายุเฉลี่ยถึง ๑๒๕ ปี   แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้มีผู้พยากรณ์ไว้อีกด้วยว่า ชีวิตมนุษย์น่าจะยืนยาวได้ถึง ๑๕๐ ปี  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบการรักษาสุขภาพเป็นสำคัญ   
  ไม่ว่าจะคาดหวังกันไว้อย่างไรก็น่าเชื่อได้ว่าจะเป็นไปได้ตามที่คาดหวัง  เพราะในปัจจุบันเราได้ค้นพบการกำเนิดของเซลล์แมโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย  ถ้าเซลล์นี้ลดลงเมื่อไร ร่างกายมนุษย์ก็จะหย่อนสมรรถภาพในการต่อต้านโรคร้าย ซึ่งทำให้ร่างกายของมนุษย์อ่อนแอและชราลงไปเรื่อย ๆ  ขณะนี้กำลังพัฒนาที่จะสร้างเซลล์ชนิดนี้ขึ้นมาเพื่อเพิ่มให้แก่ร่างกายมนุษย์   นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีความก้าวหน้าในการสร้างและพัฒนา “สเต็มเซลล์” (Stem cell)  ซึ่งเป็นเซลล์ตัวอ่อน ที่สามารถปลูกถ่ายลงในอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย  สเต็มเซลล์นี้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นเซลล์ที่สมบูรณ์ ชดเชยหรือทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสลายลงไปเมื่ออายุมากขึ้นได้  เซลล์ต่าง ๆ จะเริ่มสลายหรือลดลงเมื่ออายุประมาณ   ๓๕  ปี  (ยกเว้นเซลล์สมองที่จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นทดแทนได้เลย หากเซลล์สมองส่วนใดเสื่อมสลายไป)   เพียงแต่ยังจะต้องพัฒนากันต่อไปอีกระยะหนึ่ง  ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะมีผลทำให้ร่างกายมนุษย์แก่ช้าลง  หรือมีอายุยืนขึ้น
   ที่สำคัญ คือ ได้มีการค้นพบว่า ร่างกายของมนุษย์เมื่อมีอายุมากขึ้นจะเสื่อมโทรมลงด้วยอันตรายที่ได้รับจากอนุมูลอิสระ (Free radical)  ที่ทำลายเซลล์ร่างกายของเรา และเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ  จึงได้มีการตื่นตัวในการเพิ่มสารอาหาร เกลือแร่และไวตามินที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  หรือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ  ซึ่งจะมีผลให้อายุยืน และไม่แก่ชราไปตามวัยด้วย   จึงหวังได้อย่างมั่นใจว่า เราจะมีอายุยืน พร้อมกับมีสุขภาพและสามารถดำรงรักษาสมรรถนะให้ดีอยู่ได้  แม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม
  การมีสุขภาพดีนั้น  ต้องรักษาทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย   ในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย  เราสมควรติดตามความเคลื่อนไหวของโลกในเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพอย่างใกล้ชิด  เพราะโลกในปัจจุบัน กำลังก้าวผ่านยุคข้อมูลข่าวสารเข้าสู่ยุคใหม่ คือ “ยุคสุขภาพ”   ทั่วโลกจึงกำลังให้ความสนใจต่อเรื่องสุขภาพมากขึ้น   โดยเฉพาะในเรื่องโภชนาการ  ซึ่งมีการวิจัยมากหลายที่ได้ผลตรงกันว่า มนุษย์ปฏิบัติผิดในเรื่องโภชนาการมานาน  จนทำให้สุขภาพของมนุษย์ทั่วไปเสี่ยงต่อโรคร้าย อาทิ มะเร็งและโรคหัวใจ   จึงได้มีการปรับระบบโภชนาการ  แม้แต่อาหารหลักที่เคยแบ่งออกเป็น  ๕ หมู่  ก็ได้ปรับหมู่กันใหม่แล้ว คนส่วนใหญ่ละเลยการรักษาสุขภาพ (Health)  และพลานามัย (Fitness)     ปล่อยให้สุขภาพทรุดโทรมจนเสียรูปลักษณ์ที่ดี จนไม่เป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสของผู้พบเห็น   ยิ่งถ้าอยู่ในฐานะผู้นำหรือผู้บริหาร ปล่อยให้ตนเองอยู่ในสภาพที่ทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชารู้สึกเวทนาสงสารด้วยแล้วจะทำให้เสียสง่า และมีผลทำให้การปกครองเสื่อมลงได้  ยิ่งกว่านั้น หากเจ็บป่วย มีอาการน่ารังเกียจ จะทำให้บุคคลรอบข้างไม่ต้องการเข้าใกล้ เนื่องจากเกรงจะติดโรคร้ายจากผู้ป่วย  
   สุขภาพทางกายของแต่ละคนมีผลกระทบต่อความรู้สึกของบุคคลรอบข้างเสมอ    แม้แต่เมื่อเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่รุนแรง เช่น หวัดธรรมดา ถ้ามีอาการไอหรือจาม คนรอบข้างก็ไม่อยากเข้าใกล้ หรือเป็นโรคผิวหนังที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น  แต่ก็จะทำให้คนรอบข้างรังเกียจ ยิ่งถ้าเป็นโรคร้ายแรงก็จะยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้น   ถึงแม้จะรู้ว่าโรคนั้นไม่ติดต่อ แต่ก็ยังอาจหวาดระแวง
     ฉะนั้น ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคใดก็สมควรจะรักษาให้หายเรียบร้อย ระหว่างที่ยังมีอาการของโรคอยู่ ไม่ควรไปร่วมงานสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น    แม้แต่ผู้ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่ปล่อยให้ร่างกายผอมหรืออ้วนเกิน หรือมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ก็อาจทำให้คนรอบข้างเสื่อมความนิยมลงได้    และถึงแม้ใครจะไม่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพในฐานะเป็นส่วนสำคัญของบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส  แต่การมีสุขภาพดีและอายุยืนก็เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของชีวิตมนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว
    เรื่องสำคัญเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ คือ การบริหารจิตและการบริหารกาย ที่ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และให้สอดคล้องกับระบบการกินอยู่ ที่ถูกต้องเหมาะสมแก่วัยและสภาพร่างกายตลอดจนวิถีชีวิตของแต่ละคน ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันด้วย
แนวทางในการบริหารจิตและกายให้มีสุขภาพดี

  มีวิธีการที่ง่ายที่สุดในการบริหารจิตและกายในวิถีชีวิตประจำวันของคนทั่วไป  ดังนี้
๑. การบริหารจิตด้วยการทำสมาธิ (จิต)
๒. การบริหารกายด้วยการเดินเร็ว  (กาย)
๓. การว่ายน้ำ  (กายทุกส่วน)
๔. การเต้นรำจังหวะบอลรูม หรือแอโรบิค หรือรำวงมาตรฐาน (เป็นการบริหารทั้งจิตและกายพร้อมกัน)

  การบริหารสุขภาพจิตและสุขภาพกาย แท้จริงแล้ว เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพด้วยการพัฒนารูปลักษณ์ทางกาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบแรก ของบุคลิกภาพนั้น มีสาระสำคัญยิ่งอยู่ที่การรักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงกับปรับรูปลักษณ์ให้ดีเป็นหลัก  ส่วนการแต่งกายนั้นเป็นส่วนประกอบให้ดูดีขึ้นเท่านั้น
  การพัฒนาบุคลิกภาพองค์ประกอบที่  ๒  คือภูมิรู้ สติปัญญา  ทัศนคติ  รสนิยม และสำนึกในทางจริยธรรมและคุณธรรม  ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบริหารจิต
การพัฒนาบุคลิกภาพองค์ประกอบที่  ๓  คือ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์  ก็เป็นเรื่องของการบริหารจิต
  เมื่อได้มีการบริหารจิตและกาย ซึ่งเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งสามองค์ประกอบข้างต้นให้ดีขึ้นมาได้เท่าไร ก็จะประกอบกันทำให้เกิดมรรยาท ซึ่งเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของบุคลิกภาพ   
 การบริหารจิตและกาย   ตามที่กล่าวถึงข้างต้นมีวิธีการที่ง่ายต่อการปฏิบัติและได้ผลดี  มีดังนี้
๑) การสมาธิ (Concentration) จิตของมนุษย์มักจะเคลื่อนไหววอกแวกอยู่เสมอ  การ
สมาธิเป็นวิธีฝึกการควบคุมจิต  โดยการรวบรวมจิตที่วุ่นวายกระจัดกระจายให้สนิทนิ่ง  ถ้าสงบจิตให้นิ่งได้หนึ่งขณะจิต จะเป็นการตั้งสติ และถ้าสามารถรักษาสติให้ต่อเนื่องเกินหนึ่งขณะจิตได้ นั่นก็คือการเกิดสมาธิขึ้นแล้ว  เป็นการเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง  เป็นการเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งขึ้น  ซึ่งจะมีผลให้การปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ประสพความสำเร็จดียิ่งขึ้น   ได้มีการศึกษาพบว่า โดยทั่วไปมนุษย์ใช้พลังจิตเฉลี่ยประมาณ ๗ %  ของพลังจิตที่ตนมีอยู่โดยธรรมชาติ การฝึกสมาธิจะเป็นการปลุกพลังจิตส่วนมหาศาลถึง   ๙๓ % 
ที่ถูกละเลยทอดทิ้ง  ให้มีความเข้มแข็ง แล้วสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้เรื่อย ๆ 
๒)   การเดินเร็ว ๆ   การเดินเร็ว ๆ  เพื่อบริหารร่างกายนี้ ความจริงแล้วเป็นการเดินจงกรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้เป็นวิธีการบริหารร่างกาย  ซึ่งเป็นการตรงข้ามกับการสมาธิเพื่อบริหารจิต เป็นการสร้างสมดุลระหว่างจิตและกาย  เนื่องจากในขณะสมาธิร่างกายจะสงบนิ่ง เมื่อพ้นจากสมาธิแล้วจำเป็นต้องบริหารกายเป็นการชดเชย   แต่การเดินจงกรมนั้นอาจเป็นการบริหารกายและบริหารจิต ไปพร้อม กันด้วยก็ได้ หากผู้ปฏิบัติมีสมาธิ รู้สำนึกในอิริยาบถของตนได้ทุกขณะที่ก้าวเท้าเดิน 
๓)  การว่ายน้ำ  เป็นการบริหารร่างกาย ที่ได้ผลดีต่อกล้ามเนื้อทุกส่วน และเป็นการบริหารระบบการหายใจที่ดีได้ด้วย 
๔)   การลีลาศจังหวะบอลล์รูม หรือการรำวงมาตรฐาน   เป็นการบริหารทั้งจิตและกาย คือ การฟังเพลง แล้วกำหนดจิตไปที่เพลง จะได้บริหารจิต  และพร้อมกันนั้นการก้าวเท้าไปตามจังหวะและลีลาที่มีรูปแบบมาตรฐาน จะเป็นการบริหารกาย สอดคล้องกับการบริหารจิต  การเต้นแอโรบิค  หรือรำมวยจีน ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน  ๔ ประการข้างต้น จะต้องปฏิบัติเป็นเวลา
ไม่น้อยกว่า  ๓๐  นาที    ซึ่งหากปฏิบัติต่อเนื่องได้เกิน ๓๐ นาทีแล้ว  ร่างกายจะหลั่งสาร  Endorphine    (Endo = จากร่างกาย,  morphine = สารในฝิ่น)  คือ จะได้เสพฝิ่นโดยไม่ต้องเสียสตางค์และไม่ผิดกฎหมาย  ทั้งยังได้รับในขนาดที่พอเหมาะ  เพราะร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง หรือที่มีผู้เรียกว่า “สารแห่งความสุข”  ซึ่งจะทำให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิต เข้มแข็ง  กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย   และเป็นสุข

การรักษาสุขภาพจิต  แนวทางในการบริหารจิตให้มีสุขภาพดี  คือ คำนึงถึงสาระในธรรมะ ที่เรารู้ดีกันอยู่แล้ว  ถ้านำมาปรับใช้ในทางปฏิบัติด้วยความเข้าใจ  แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ก็จะทำให้เราเกิดความสุขในจิตได้ง่าย ๆ   ไม่
ต้องถึงขนาดไปฝึกปฏิบัติธรรม เพียงแต่มุ่งมั่นปฏิบัติด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก   ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบการบริหารต่าง ๆ  รวมทั้งการบริหารเวลา  ในแนวทางที่เป็นการสร้างเสริมสุขภาพจิตในการทำงานทั้งสิ้น     เราได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นได้หรือเปล่า ?
การจะศึกษาแนวทางการรักษาสุขภาพจิตที่ดี  ไม่ต้องไปแสวงหาตำรับตำราที่ไหน  เพียงแต่ศึกษาและหมั่นปฏิบัติตามสาระในธรรมะในพระพุทธศาสนา ด้วยความเข้าใจอย่างง่าย ๆ  ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้ว ก็จะประสพผลสำเร็จได้     แต่ส่วนใหญ่สวดมนต์โดยไม่เข้าใจความหมาย และทำบุญโดยหวังผลอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อสุขภาพจิต

การรักษาสุขภาพกาย     สภาพกายของมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติ   ได้กล่าวแล้วว่า อายุขัยของมนุษย์โดยเฉลี่ยควรจะอยู่ที่ประมาณ ๑๐๐  ปี   ซึ่งหลักการนี้น่าจะเป็นจริง   ตามที่ได้กล่าวแล้วว่าเมื่อกลางปี ๒๕๔๕  องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า  ในอีก  ๖๐  ปีข้างหน้า  อายุเฉลี่ยของประชากรโลกจะอยู่ที่  ๑๐๐  ปี    แต่จะมีอายุยืนได้ถึง ๑๐๐ ปีหรือไม่  ขึ้นอยู่กับการที่เราจะใช้ชีวิตเป็นหรือไม่   ปรับสุขภาพจิตและรักษาสุขภาพกายให้ดีได้หรือไม่     พูดง่าย ๆ ถ้าจะอยู่ให้ถึง  ๑๐๐  ปี ก็ต้องกินอยู่ให้เป็น    การบริหารกายและการกินอยู่เพื่อให้มีสุขภาพดีนั้นน่าจะต้องศึกษาติดตามรับความรู้ใหม่ ๆ ที่พัฒนาไม่หยุดยั้ง  เพราะแนวทางปฏิบัติแต่เดิมนั้น บางอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก  ถึงขนาดเป็นตรงข้ามจากหลักการเดิมก็มี  แนวใหม่ ๆ ที่มีให้เลือกอาจมีวิธีการที่จะส่งผลดีอย่างแท้จริงหรือไม่ก็ได้  ต้องพิจารณา  แต่ที่น่าจะพิจารณามากที่สุด ก็คือ การปรับวิถีชีวิตให้ย้อนไปหาแนวทางการกินอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์ในภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น เริ่มจะเป็นหลักการที่ชาวโลกยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง
  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ แต่เดิมมีความนิยมที่จะออกกำลังกายอย่างหนักในตอนเช้า  ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า ออกมาวิ่งกันเป็นชั่วโมง  แต่จากผลการวิจัยใหม่ ๆ กลับห้ามออกกำลังกายอย่างหนักตอนเช้า เพราะพลังงานสำรองของร่างกายเป็นสูญ พลังส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารเมื่อวันวานได้ผันไปเป็นไขมันเก็บสะสมไว้เป็นความอ้วนเรียบร้อยแล้ว  จะผันกลับมาเป็นพลังงานสำหรับการบริหารร่างกายได้ยาก ต้องไปเบียดเบียนพลังงานสำรองจากอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจมีผลทำให้ร่างกายส่วนนั้น ๆ อ่อนแอลง  ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพกายได้  ข้อแนะนำที่ดีที่สุดคือ ให้ออกกำลังกายตอนบ่าย หรือตอนเย็นหลังจากอาหารเย็นแล้วไม่น้อยกว่า  ๑  ชั่วโมงจึงจะเป็นผลดี อย่างน้อยก็ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารกลางวันและอาหารมื้อเย็น  ไม่ให้ไปสะสมเป็นไขมันในระหว่างที่เรานอนหลับ
  และยังได้มีการวิจัยพบว่า  เวลาบ่าย  ราว ๔ - ๕ โมงเย็นเป็นเวลาที่ปอดกำลังขยายตัวเต็มที่ ควรออกกำลังกายตอนนั้น จะปั๊มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากที่สุด  หรือเวลาเย็นกว่านั้นก็ยังดีกว่าเวลาเช้า แต่ไม่ว่าจะดำเนินตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ใด ที่สำคัญคือควรจะเคารพธรรมชาติให้มากที่สุด  ปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตที่คนไทยยึดถือเป็นหลัก คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  (แต่ปัจจัยสำหรับชีวิตตามที่ชาวโลกทั่วไปถือปฏิบัติมีมากกว่านี้   เขาถือกันว่ามี  ๘ ประการด้วยกัน)  ถ้าได้พิจารณาปัจจัยที่เรามีและใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยนำเอากฎเกณฑ์ของสังคมมาพิจารณาประกอบด้วย  แล้วปรับตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกต้องและพอเหมาะ  เราจะมีสุขภาพกายดีได้เสมอ
  ในเอกสารนี้จะไม่กล่าวถึงเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย  เพราะอาจศึกษาได้จากแหล่งอื่น ๆ ตามความจำเป็นและรสนิยม    แต่จะขอกล่าวถึงเฉพาะอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต  ส่วนยานั้น เป็นเรื่องทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ที่จะไม่นำมากล่าว  นอกจากขอกล่าวว่า  อาหารนั้น ความจริงเป็นยาที่ใช้ป้องกันและรักษาได้สารพัดโรค  ส่วนยานั้นเป็นเคมีสำเร็จรูปที่บางชนิดใช้เพียงเพื่อระงับอาการของโรคเท่านั้น   การบำบัดโรคด้วยอาหารเป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้ผลแท้จริงเสมอ การรับประทานอาหารที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ  การวิจัยทางการแพทย์และโภชนาการในปัจจุบัน พบว่าความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของโลกได้เปลี่ยนแปลงอาหาร ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งเคยเป็นประโยชน์สูงต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์  ไปเป็นอาหารที่เสื่อมคุณภาพลง   และยิ่งกว่านั้น ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้บริโภคหลงผิดหันไปนิยมอาหารที่ด้อยคุณค่า   รวมทั้งได้มีการโฆษณาให้ใช้อาหารเสริมที่มีราคาแพงและให้ผลไม่คุ้มราคา เพื่อมาชดเชยการบริโภคอาหารที่ด้อยคุณภาพ     ถ้าพิจารณาด้วยเหตุผล ว่า อาหารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ย่อมให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศเดียวกันดียิ่งกว่าอาหารที่มาจากแหล่งผลิตที่อยู่ในภูมิอากาศต่างออกไป โดยเฉพาะสำหรับชาวไทย   เป็นที่ยอมรับทั้งในทางวิชาการและในทางปฏิบัติ ว่า วิถีชีวิตในการรับประทานอาหารแบบไทย มีคุณประโยชน์สูงมากต่อสุขภาพร่างกายของคนไทย แต่คนไทยส่วนหนึ่งกลับหันไปบริโภคอาหารแบบตะวันตกประเภทที่เป็นอาหารไร้คุณค่า    ละเลยข้าวซ้อมมือที่อุดมด้วยประโยชน์ หันไปรับประทานข้าวขัดขาว ซึ่งเหลือแต่เศษแป้งที่ให้คุณค่าน้อยที่สุด 
  แม้แต่พืชผักผลไม้ที่ติดอันดับสุดยอด (Top Ten) ของโลกในฐานะที่เป็นพืชผักผลไม้ต่อต้านและป้องกันมะเร็ง  ซึ่งชาวโลกตื่นเต้นกันมากว่า ๑๒ ปีแล้ว ก็ปรากฏว่าหาได้ง่ายที่สุดในเมืองไทยไม่น้อยกว่า ๘ ชนิด   แต่ชาวไทยเองกลับไม่ได้ให้ความสนใจ  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่ทราบและมัวตกอยู่ภายใต้อำนาจกระแสการโฆษณาชวนเชื่อก็เป็นได้   จึงยังคงกินอาหารขยะแบบฝรั่งกันอย่างตั้งอกตั้งใจ  และหลงดื่มชาเขียวซึ่งโฆษณาว่าเป็นตำรับแท้ของญี่ปุ่น (ซึ่งไม่ใช่)  ทั้ง ๆ ที่ชาเขียวนั้นผลิตที่เชียงรายของเรานี่เอง และด้วยความไม่รู้จริงทำให้ต้องจ่ายค่าชาเขียวในราคาแพงมาก (เริ่มต้นขวดละ ๒๕  บาทแล้ว)  ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนแท้จริงไม่น่าจะเกิน ๓  บาท (ถ้าเราชงดื่มเอง-คุณภาพเท่ากัน)  ซึ่งเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากสำหรับสังคมไทยปัจจุบัน
  ชีวิตขาดอาหารไม่ได้  แต่อาหารในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก  เปลี่ยนไปเพราะระบบชีวิตตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการตลาด  ที่ชี้นำแนวนิยมในการรับประทานอาหารเพื่อรสนิยมตามสมัย  โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริงของอาหาร   จึงทำให้อาหารบางส่วนกลายเป็นเครื่องบ่อนทำลายสุขภาพไปโดยคาดไม่ถึง  ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักสมัยใหม่ในเรื่องอาหาร ในลักษณะที่ปฏิบัติได้ง่าย  เมื่อเข้าใจจริง  อาทิ ในเรื่องต่อไปนี้
เรากินอาหารทำไม 
มนุษย์ขาดอาหารไม่ได้  อาหารให้ทั้งพลังงานและสารเคมีที่ร่างกายนำไปใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบ
สำหรับทำนุบำรุงและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์    โดยธรรมชาติ  พืชสังเคราะห์พลังงานจากแสงอาทิตย์ แร่ธาตุต่าง ๆ และน้ำ ประกอบกันขึ้นเป็นอาหาร สร้างเป็นราก ต้น ดอก และผลของพืช     แต่สัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์ตามวิธีเช่นนั้นได้  หรือได้ก็น้อยมาก  (เช่น ผิวหนังมนุษย์สร้างไวตามิน D จากแสงแดดอ่อน ๆ หรือปลาค็อดเก็บเอาไวตามินดีจากแสงอาทิตย์เก็บสะสมไว้ในตัว แล้วมนุษย์ก็ไปเบียดเบียนสกัดเอาไวตามิน D มาจากตับของมันอีกต่อหนึ่ง)  สัตว์จึงแสวงประโยชน์ทางลัดด้วยการกินพืชเป็นอาหาร เพื่อสร้างเสริมทำนุบำรุงร่างกาย  แต่สัตว์บางชนิดใช้วิธีรวบลัดยิ่งกว่านั้น โดยการกินเนื้อสัตว์อื่น ที่กินพืชมาแล้วอีกต่อหนึ่ง  กลายเป็นห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ  แต่มนุษย์กินทั้งพืชและสัตว์   การกินในลักษณะนี้เป็นการรับสารอาหารหลากหลายเข้าสู่ร่างกายเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่สมบูรณ์   เพราะวิจัยพบว่ากรดอะมิโนที่จำเป็นบางตัวที่ร่างกายมนุษย์ต้องการไม่มีอยู่ในพืช  ต้องได้จากเนื้อสัตว์ด้วย  จึงจะครบถ้วน
  ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ยังกินอาหารเพื่อสุนทรียภาพ  มีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส  และจะสังเกตได้ว่า มนุษย์ใช้กิจกรรมการกินอาหารในเกือบทุกโอกาสที่มีการชุมนุม รื่นเริงสนุกสนาน  และแม้แต่งานพิธีการที่สำคัญ ก็จะต้องมีการเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นเกียรติด้วย  ซึ่งถือได้ว่าเป็นการกินเพื่อสังคม
อาหารที่เหมาะสำหรับมนุษย์
 ได้มีการพยายามพิสูจน์กันว่า มนุษย์จัดอยู่ในประเภทสัตว์กินพืช  โดยอ้างหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งอ้างว่า มนุษย์ไม่มีเขี้ยว  ซึ่งไม่น่าจะจริง  เพราะมนุษย์มีเขี้ยว ซึ่งยังพอสังเกตเห็นได้ชัดเจน  โดยเฉพาะเขี้ยวเสน่ห์ของหลายคนเป็นที่น่าประทับใจ   แต่เขี้ยวของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง  แต่ยังมีเขี้ยวเหลือให้เห็นกันอยู่ทุกคน ก็คงจะเหมือนกระดูกก้นกบ ที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นเป็นหลักฐานแสดงว่ามนุษย์เคยมีหางนั่นแหละ   พอไม่ใช้ มันก็หดหายไป  เหลือเป็นสัญลักษณ์อยู่เพียงนิดเดียว ฉะนั้น อาหารของมนุษย์ก็น่าจะเป็นทั้งพืชและเสื้อสัตว์   แต่หนักทางผักเข้าไว้น่าจะดีกว่า  เพราะเมื่อเขี้ยวของเราเล็กและสั้นลง ก็แสดงว่าวิถีชีวิตของมนุษย์นี้กินเนื้อสัตว์น้อยลง  แต่ก็ยังจะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่ต่อไปด้วย  เพราะกรดอะมิโนหลายตัวที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ไม่มีในพืช  แต่มีในเนื้อสัตว์  ที่เป็นปัญหาก็คือ  มนุษย์เราเริ่มกินเนื้อสัตว์และไขมันตามใจปากตามใจลิ้นมากเกิน เพียงเพื่อสุนทรียภาพในการกิน  จนเกิดปัญหาต่อสุขภาพ   ในปัจจุบันจึงต้องมาทบทวนระบบการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่แท้จริงกันใหม่ 
อาหารที่เหมาะแก่วัย
  เมื่อล้อมวงรับประทานอาหารในบ้าน  ทุกคนกินอาหารอย่างเดียวกัน   แต่อาหารบางอย่างอาจเหมาะสำหรับเด็กแต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่   และอาหารบางอย่างที่ผู้ใหญ่ชอบ แต่เด็กไม่ยอมกินเลยก็มี  เช่น นมจำเป็นสำหรับเด็ก  แต่พอเด็กอายุล่วงวัยหนึ่งแทนที่จะดื่มนมมารดาก็เปลี่ยนไปดื่มนมวัวหรือนมแพะแทน   แต่ขณะนี้กำลังเป็นที่วิพากษ์กันว่า นมไม่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่แล้ว  ทั้งยังเป็นต้นเหตุของโรคภัยหลายชนิดสำหรับผู้ใหญ่ด้วย  (มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ยังดื่มนมหลังจากหย่านมตามธรรมชาติของชีวิตแล้ว  แต่ผักชนิดต่าง ๆ เหมาะสำหรับทุกวัย  เพียงแต่ว่า เด็กยุคใหม่ไม่ยอมรับผักพื้นบ้าน ไม่ว่าจะมีคุณประโยชน์เพียงใด   ทั้งนี้เพราะกระแสนิยมและคำโฆษณาชวนเชื่อ  ที่ชี้นำไปในทางการค้า  และกระแสนิยมฝรั่ง  ซึ่งได้มีการค้นคว้าศึกษาและมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างจริงจัง มากกว่าของไทยเราเอง

อาหาร  ๕  หมู่ ตามที่เราได้เรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  ว่า อาหารมี  ๕  หมู่   เดี๋ยวนี้ก็ยังมี  ๕  หมู่   แต่ว่าอาหาร  ๕  หมู่ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว
 อาหาร  ๕  หมู่เดิม   อาหาร  ๕  หมู่ใหม่ 
 ๑.   โปรทีน    ๑.   โปรทีน (เหมือนเดิม)
 ๒.   คาร์โบไฮเดรต   ๒.   คาร์โบไฮเดรต   (เหมือนเดิม)
 ๓.   ไขมัน    ๓.   ไขมัน          (เหมือนเดิม)
 ๔.   ไวตามิน    ๔.   ไวตามินและเกลือแร่ (รวม ๔ กับ  ๕  เดิม)
 ๕.   เกลือแร่                                                 ๕.   กากใย  (Fibre)
 เดิมเห็นว่ากากใยจากพืชผักเป็นอาหารที่หยาบกระด้าง ไม่ถือเป็นอาหารคุณภาพสูงที่จะต้อง มีลักษณะประณีตละเอียดอ่อน  เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือถือว่าหยาบกระด้าง  ไม่น่ารับประทานเท่าข้าวขาว ที่ขัดสีจนปราศจากรำและจมูกข้าว  แต่ปรากฏว่าคุณประโยชน์ที่ได้กลับตรงกันข้าม
 อาหารจำพวกกากใย กลับกลายเป็นหมู่อาหารที่มีคุณค่าสูงยิ่ง  อาหารจำพวกกากใยแบ่งออกเป็น  ๒ จำพวก  คือ  กากใยจำพวกละลายน้ำได้  กับ กากใยจำพวกละลายน้ำไม่ได้  ทั้งสองชนิดนี้มีคุณประโยชน์ปานกัน    ปกติระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ย่อยกากใยของอาหารไม่ได้  แต่เมื่อกากอาหารเคลื่อนถึงลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยกากใยอาหารเหล่านี้ได้  ซึ่งจะมีผลดีหลายอย่าง เช่น  ลดโคเลสเตอรอล  และลดน้ำตาล (ซึ่งเป็นคุณสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน)  และกากใยส่วนที่เหลือจากการย่อยแล้วยังทำให้กากอาหารมีความอ่อนนุ่มและชุ่มน้ำทำให้ไม่เกิดอาการท้องผูกด้วย
 หมู่ของอาหารในการรับประทานยังมีการจำแนกต่างออกไปจากอาหาร ๕ หมู่ ที่กล่าวข้างต้นโดยแบ่งออกเป็นหมู่ตามประเภท  ดังภาพในปีระมิดปรากฏในหน้าถัดไป
  หมู่ที่  ๑    หมู่โปรทีน  หมายรวมถึง  เนื้อสัตว์  ไข่  ถั่ว  นม  ไวตามินและเกลือแร่ 
 หมู่ที่  ๒   หมู่แป้งและน้ำตาล  ได้แก่อาหารจำพวกแป้ง-น้ำตาล ที่เป็นพวก คาร์โบไฮเดรต
 หมู่ที่  ๓   หมู่ผัก  ได้แก่พืชผักที่กินต้น ดอก ใบ ซึ่งอุดมด้วยไวตามิน  เกลือแร่ และกากใย
              หมู่ที่  ๔  หมู่ผลไม้  ได้แก่ผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งอุดมด้วย ไวตามิน เกลือแร่และกากใย
 หมู่ที่  ๕   ไขมันจากสัตว์และพืช  อาหารหมู่นี้ให้พลังงานสูง  ทั้งยังเป็นที่รองรับไวตามิน
                                            บางชนิดที่ละลายเฉพาะในไขมันเท่านั้น  เช่น  ไวตามิน  A, D,  E และ  K 

 เรามักจะได้ยินคำแนะนำผ่านสื่อมวลขนอยู่เสมอ ให้รับประทานอาหารให้ครบ  ๕  หมู่  แต่ไม่ใคร่จะได้ยินว่ามีสัดส่วนตามสมควรอย่างไร   บางคนรับประทานครบ ๕ หมู่  แบ่งสัดส่วนทุกหมู่เท่ากันหมด  ผลก็คือผู้นั้นกลายเป็นหมูไปเท่านั้นเอง 
อาหารที่เหมาะแก่ความเป็นอยู่ในแต่ละภูมิอากาศ
 การรับประทานอาหาร โดยเฉพาะพืชผักและผลไม้ ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลในภูมิอากาศของผู้บริโภคย่อมจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คนไทยกินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม เป็นที่รู้กันมาแต่โบราณ
 การค้นพบทางวิชาการใหม่ ๆ  ในเรื่องอาหาร
  การค้นพบทางวิชาการใหม่ ๆ  ในปัจจุบัน  เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  เพราะบางสิ่งกลับกลายเป็นตรงข้ามกับความเชื่อทางวิชาการที่มีอยู่แต่เดิม  เช่น
  -    นมวัวเคยเป็นอาหารเสริมที่สำคัญ   ขณะนี้กำลังมีแนวความเชื่อ ว่า นมไม่เหมาะสำหรับ
                                 ผู้ใหญ่  เพราะก่อให้เกิดโรคภัยบางประการ  ทั้งได้มีการวิจัยพบว่าทารกที่ไม่ได้ดื่มนม
                                 มารดาในช่วง  ๓  เดือนแรก และดื่มน้ำนมวัวแทน   ทารกนั้นจะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
                                 ประเภทที่สอง  เมื่ออายุมากขึ้น
  -    ไข่เคยเป็นอาหารที่ต้องจำกัดมาก   เนื่องจากเป็นตัวเพิ่มปัญหาโคเลสเตอรอล   บัดนี้ 
                                 แนวทางปฏิบัติได้เปลี่ยนไปแล้ว
-     ไขมันกับโคเลสเตอรอล  ได้มีการวิจัยพบว่า เมื่อทานอาหารที่มีไขมันเพียง ๑๙ %
      ของพลังงาน ทำให้ HDL (ตัวที่มีคุณเพียงอย่างเดียว-ไม่มีโทษ)  ลดลง   แต่เมื่อทาน
      อาหารที่เพิ่มไขมันขึ้นเป็น  ๕๐ %  กลับพบว่า  HDL  เพิ่มขึ้น  จึงได้เกิดแนวทาง
    ปฏิบัติในการรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยไขมัน  ๓๐ %  เป็นมาตรฐานขึ้นมา
   -    การรับประทานแครอท เพื่อให้ได้เบตา แคโรทีน  แต่เดิมต้องกินดิบ คั้นสด แยกกาก
                                  แยกน้ำ แต่ในปัจจุบัน ถ้าต้องการได้เบตา แคโรทีนมาก ๆ ต้องทานที่สุกผ่านความร้อน
    -    แต่เดิมห้ามคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงดื่มกาแฟ    ปัจจุบันเชื่อได้ว่า กาแฟไม่มีผล
                                   ต่อโรคความดันโลหิตสูงเลย
  -    อาหารจำพวกแป้ง ที่ทอดด้วยน้ำมัน หรือที่อบในไขมัน ที่อุณหภูมิสูง  เช่น ปาท่องโก๋ 
        กล้วยแขก กำลังเป็นที่น่าหวาดกลัว เนื่องจากก่อให้เกิดสาร อะครีลาไมด์  (สารผสมใน
        พลาสติคโพลีเมอร์) ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารก่อมะเร็งที่น่าระวังเพิ่มขึ้น
 
รู้จักอาหารจำพวกกรดไขมันเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง
  กรดไขมันในอาหารแบ่งออกเป็น  ๒  ชนิด  คือ
๑. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid)  ได้จากไขมันสัตว์  เช่น นม ครีม  เนยสดและไขมันจากสัตว์   แต่ไขมันจากปลาทะเลให้ประโยชน์ต่างจากไขมันจากสัตว์บกมาก
๒. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acdid) ได้จากพืช  กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้ยังแยกออกเป็น  ๒  ประเภท  คือ
(๑)    กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว  (Monounsaturated Fatty Acid) พวกนี้ ส่วน
          ใหญ่ได้จากน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก  น้ำมันถั่วลิสง   น้ำมันถั่วเหลือง มี
          ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ  ช่วยบรรเทาโรคหัวใจได้ดี
 (๒)   กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid)  พวกนี้มี
           ประโยชน์ต่อสุขภาพรองลงมาจากพวกแรก  แต่อาจมีอันตรายได้หากได้รับ
           มากเกิน  พบในน้ำมันข้าวโพด  น้ำมันดอกทานตะวัน 
  เรามักจะได้กรดไขมันเหล่านี้หลากหลายปะปนกันจากอาหารทั่วไป  ต้องเลือกสรรตามควรแต่การเลือกก็ต้องรู้สาระพื้นฐานของไขมันนั้น   หลายคนไม่รู้เลยว่า ไขมันจากพืชไม่มีคอเลสเตอโรล และหลายคนไม่รู้เลยว่า กะทิหรือน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวถึง ๓ เท่าของน้ำมันหมู  และน้ำมันพืชจากปาล์มน้ำมัน มีกรดไขมันอื่มตัวถึง  ๒ เท่าของน้ำมันหมู   มองในแง่หนึ่ง ร้ายกว่าน้ำมันหมูเสียอีก ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีคอเลสเตอโรล    ลองพิจารณาตารางต่อไปนี้
     กรดไขมันจาก

      กรดไขมันอิ่มตัว      
     กรดไขมันไม่อิ่มตัว   
             เชิงเดี่ยว               
     กรดไขมันไม่อิ่มตัว
            เชิงซ้อน
น้ำมันมะพร้าว              ๘๙  %                 ๖  %               ๒  % 
น้ำมันหมู                                         ๓๙   %              ๔๕   %              ๑๑  %
น้ำมันถั่วลิสง              ๑๗   %              ๔๗   %              ๕๙  %
น้ำมันถั่วเหลือง              ๑๕  %               ๒๔  %              ๕๙  %
น้ำมันมะกอก              ๑๔  %               ๗๖  %                ๙  %
น้ำมันข้าวโพด              ๑๓  %               ๒๕  %              ๕๙  %
น้ำมันดอกทานตะวัน              ๑๑  %               ๒๐   %              ๖๗  %
เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างน้ำมันที่เราใช้มาก  พบว่า น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวมากที่สุด
มากกว่าน้ำมันหมูตั้งแยะ  และน้ำมันหมูให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงไล่ ๆ กับน้ำมันถั่วลิสง ส่วนน้ำมันมะกอกนั้นแม้จะดีเพียงใด  แต่เราผลิตไม่ได้เอง  จึงแพงมาก   จะเลือกใช้น้ำมันอะไรก็พิจารณาดูความสมควรเอาเอง   แต่ก็มีรายงานว่า ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา วิจัยพบว่า น้ำมันมะพร้าวจะถูกตับผันไปเป็นพลังงานได้เร็วมาก(เพียงชั่วโมงเดียว)   ถ้าใครใช้พลังงานนั้นหมดได้  ก็ไม่สะสมไขมันเป็นความอ้วน 
อาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาไทยที่เข้าใจในอาหารจากธรรมชาติ
  คนไทยรู้จักการกินอาหารที่ได้ในจากธรรมชาติในพื้นที่ตามฤดูกาล  และรู้จักปรับการกินอาหารที่ได้จากธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ตลอดมา
  -    คนไทยกินข้าว กินปลา   ขณะนี้โลกยอมรับแล้วว่า ปลาเป็นอาหารโปรทีนที่ดีที่สุด
                           -    คนไทยทางเหนือกินเมี่ยง  คือใบชา   มาแต่โบราณ    แม้แหล่งกำเนิดของใบชาใน
                                ประเทศจีน ก็อยู่ในพื้นที่ ที่คนไทยอยู่ทั้งสิ้น  (คนจีนเรียกใบชาว่ามิ่ง = เมี่ยง ของไทย)
-   ข้าวหลาม เกิดจากธรรมชาติตามฤดูกาล  หน้าหนาวต้องผิงไฟ  พอดีกับ ข้าวใหม่  ไม้ไผ่ 
     เยื่อกำลังดี  จึงเกิดการเผาข้าวหลามขณะผิงไฟ  ได้ทั้งความอบอุ่นและอาหารอีก ๑ มื้อ 
-    แหนมไม่เน่าเสีย ก็เพราะคนไทยรู้จักใช้กระเทียมในการฆ่าเชื้อ (กระเทียมมีสารอัลลิซีน)
  -    ตั๊กแตนปาทังก้าเป็นปัญหาใหญ่ในโลก  แต่เมื่อมาถึงเมืองไทย กลายเป็นอาหารของคน
                                 ไทย ที่อุดมด้วยโปรทีนไปแล้ว
  -    คนไทยกินพริกเก่ง  ทั้ง ๆ  ที่ฝรั่งเป็นคนนำพริกเข้ามา  (อย่าเพิ่งเชื่อนัก เพราะมีการค้น
                                 พบว่าทางแถบตะวันออกนี้มีพริกอยู่ก่อนแล้ว  ฝรั่งเรียกกันว่าพริกอัฟริกัน ไม่เรียกว่า                            
     พริกเอเชีย เพราะฝรั่งรู้จักอัฟริกาในฐานะดินแดนทางตะวันออก ก่อนที่จะรู้จักอย่างแท้
                                 จริงว่าเอเชียอยู่ที่ไหน)   แล้วเราก็พบว่า สารแคปไซซีนในพริกมีประโยชน์  ขยายผนัง
                                 หลอดโลหิต  ทำให้ยืดหยุ่น เส้นโลหิตในสมองไม่แตกง่าย ทั้งยังทำให้ผู้กินพริกได้รับ
                                 ฮอร์โมน Endorphine  - สารแห่งความสุขด้วย   ถ้าใครนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ  ลองทาน
                                 อาหารเผ็ด ๆ  ดูบ้าง จะทำให้นอนได้หลับสนิทดีนัก
  -     คนไทย เมื่อทานผักต้มจิ้มน้ำพริก ทำไมจึงต้องมีหัวกะทิหยอดลงบนผักต้มนั้นด้วย  เรา
                                  เพิ่งมารู้กันภายหลังว่า ไวตามินเอ ที่ผันจากเบต้า แคโรทีนในผักนั้น ต้องละลายใน
                                  ไขมัน  เราจึงหยอดกะทิเพื่อให้ได้ไขมัน  คนไทยในยุคก่อนไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน 
                                  ถ้าไม่ได้สังเกตเอาเองจากธรรมชาติ
พืชผักผลไม้  ๑๐  ชนิด  ที่มีคุณสมบัติสุดยอดในการป้องกันและต่อต้านมะเร็ง 
 เมื่อ ๑๒  ปีมาแล้วโลกวิจัยพบว่าพืชผักผลไม้ในโลกที่กินได้มีอยู่ประมาณกว่า ๑๓,๐๐๐ ชนิด แต่ที่ติดอันดับสุดยอด  ๑๐  อันดับ  (Top Ten)  ในฐานะพืชผักและผลไม้ที่ต่อต้านและป้องกันมะเร็งนั้น หาได้ง่ายที่สุดในประเทศไทยไม่น้อยกว่า  ๘  ชนิด    ทั้ง  ๑๐  อันดับมีดังนี้
 ๑.    สตรอเบอรี่   ในบ้านเราผลิตได้ในฤดูหนาว  ไม่ด้อยกว่าในยุโรปที่ผลิตได้ในฤดูร้อน
 ๒.  มะเขือเทศ  แหล่งกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง  มีสารไลโคพีน  ซึ่งเพิ่งค้นพบและประกาศเผยแพร่
                     ให้บริโภคแพร่หลายเพิ่มขึ้นเมื่อ ปี ๒๕๔๒ นี้เอง  ไลโคพีนมีสรรพคุณควบคุมต่อมลูกหมาก
                     ได้ดีที่สุด  และสารนี้ยังป้องกันโรคหัวใจได้ดีด้วย   ปรุงผ่านความร้อนจะได้ไลโคพีนเพิ่มขึ้น   
                     (แต่เพิ่งมีการวิจัยพบว่า ไลโคพีนและเบต้า แคโรทีน เป็นต้นเหตุของมะเร็งด้วย   ผู้เรียบเรียง
                     ยังฟังหูไว้หู  เพราะได้ทานมานานมากแล้ว ยังได้ผลดีอยู่   และก็มีการพบว่า การทานอะไร
                     อย่างใดอย่างเดียวมาก ๆ  รวมทั้งเบต้าแคโรทีนที่สะกัดเป็นเม็ด ก็ก่อมะเร็วได้เหมือนกัน)
๓.   ส้มทุกชนิด  (ยกเว้นส้มแขก)   คุณผู้หญิงควรรับประทานมาก ๆ เข้าไว้  เพราะเป็นแหล่งที่จะ
        ได้รับ Collagen  สูง  (โปรทีนคอลลาเจน ทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังยืดหยุ่น ไม่แข็งกระด้าง  
        ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวหนังไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น)  ไวตามีน C เป็นตัวสร้างคอลลาเจนที่วิเศษสุด  
        ทานส้มทั้งกากทั้งใย ดีกว่าดื่มเป็นน้ำคั้น (ความจริงมะขามป้อมและฝรั่ง ผลไม้ไทย ๆ ให้
        ไวตามิน C สูงกว่าส้ม เสียอีก  หมั่นทานเข้าไว้  ผิวจะเปล่งปลั่งไปอีกนาน ไม่เหี่ยวไปตามอายุ)
 ๔.    กระเทียม   สาร Allicin มีประโยชน์มากมาย  ทั้งเพื่อลดโคเลสเตอรอล  ลดความดันโลหิต
                      และฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ด้วย  แต่ถ้ากระเทียมสุกผ่านความร้อนเมื่อไร  สาร Allicin จะเสีย
                      ความสามารถในการฆ่าเชื้อโรค   แต่คุณสมบัติด้านอื่น ๆ ยังคงมีอยู่    ดีที่สุดควรจะเป็น
               กระเทียมสด   ยิ่งกว่านั้น ยังได้พบสารอาโฆอีน (Ajoene)  ในกระเทียม  ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่า
          เชื้อโรคเหนือกว่ายาปฏิชีวนะบางตัวเสียอีก   รัสเซียเคยใช้มาแล้ว  จนเรียกกระเทียมกันว่า 
          รัสเชียน เพนนิสซิลิน            
                                     ตรงนี้ขอถือโอกาสเพิ่ม หัวหอม  แถมไว้ด้วยสักนิดหนึ่ง  เพราะจะได้ประโยชน์มาก
                     ในหัวหอมมีสารพิเศษ ชื่อ ไซโคล อัลลิอิน (Cyclo Alliin)  คุณสมบัติไม่ด้อยกว่ากระเทียม 
                     กระเทียมมีสารอัลลิอิน  ซึ่งเมื่อถูกบด หั่น ตัด สับ เคี้ยว อัลลิอินจะถูกเอนไซม์ในตัวของมันเอง
                     เปลี่ยนไปเป็นสารอัลลิซิน   เจ้าสารอัลลิซินนี้ ถ้าถูกความร้อนแล้วจะเสื่อมความสามารถใน
                     การฆ่าเชื้อโรค  แต่สรรพคุณอื่น ๆ  ยังอยู่   ส่วน ไซโคล อัลลิอิน ในหัวหอมนั้น แม้ผ่านความ
                     ร้อนในการปรุงอาหารก็ไม่เสื่อม   ป้องกันมะเร็ง และป้องกันโรคหัวใจ ได้ดีด้วย   
 ๕.   ใบชา  น้ำชา   ชาวไทยรู้จักใช้ชามาแต่โบราณ ดังกล่าวมาแล้ว  ในชามี แทนนิน  (Tannin) มี
                     กรดกาโยแทนนิค (Gallotannic acid)   ไม่ว่าชาดำ  ชาแดง  ชาทอง(ชาขาว) หรือชาเขียว มี
        ประโยชน์ปานกัน แต่ชาเขียวมีสารเอปิกาโย กาเตชิน กายาเต (Epigallo-catechin-gallate)
        มากกว่าชปาดำหรือชาแดง  เพราะไม่ได้หมักก่อนนำมาคั่วด้วยไฟอ่อน   แต่ชาฝรั่งมีประโยชน์
        ด้อยกว่านั้นอีก  เพราะหมักนานเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมมากขึ้น คนไทยกำลังตื่นชาเขียว  เพราะ
        ความไม่เข้าใจ  ชาเขียวตำรับแท้จริงของญี่ปุ่นนั้น มันไม่ใช่อย่างที่โฆษณาขายกันอยู่ในบ้านเรา
                   ในขณะนี้    ชาเขียวญี่ปุ่นที่ดื่มกันเป็นประเพณีนั้นเขาขจัดก้านใยในใบชาออกจนหมดแล้วนำ
                      เอาเนื้อใบชามาบดเป็นผง  แล้วนำผงชามาละลายน้ำร้อนเมื่อจะดื่ม  ไม่ได้ชงเหมือนชาที่เราดื่ม
                      ถ้าใครดื่มชาเขียวแบบญี่ปุ่นที่ว่านี้ในขณะที่ท้องว่างอาจเกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
                      เห็นได้ว่าเป็นชาคนละอย่างกับที่โฆษณาขายกันอยู่เกรียวกราวในตอนนี้     ที่จริงแล้ว ชาเขียว
                      ญี่ปุ่น ที่เรากำลังหลงตามกระแสกันอยู่ในขณะนี้  ก็คือ ชาอย่างเดียวกับชาเขียวของจีน    ที่
                      ชาเขียวแตกต่างจากชาดำ   ก็เพราะกระบวนการผลิตดังกล่าวแล้วเท่านั้น (ชาเขียวผึ่งให้แห้ง
         แล้วนึ่ง โดยไม่หมัก   ชาดำหมักให้เกิด Oxidation เพื่อให้ได้กลิ่นหอมเสียก่อนแล้วจึงคั่ว 
                       ส่วนชาฝรั่งนั้นหมักนานกว่า ได้กลิ่นหอมเพิ่มขึ้นก็จริง  แต่สรรพคุณลดลงมาก)   ที่ชาเขียว
                จากญี่ปุ่นแพงถีง กก.ละ ๒,๐๐๐บาท ในขณะที่ชาเขียวชนิดเดียวกันและคุณภาพ เท่ากันจาก
                       ประเทศอื่นราคาประมาณ กก. ละ ๔๐๐ บาทเท่านั้น   เพราะค่าแรงงานในการเก็บใบชาต่างกัน
                       จีนผลิตชาเขียวมากที่สุดในโลก   ส่วนชาเขียวที่ขายดีในเมืองไทยนั้น ทั้งปลูกและผลิตที่จังหวัด
               เชียงรายนี้เอง  แต่ไม่มีใครกล่าวถึง    เพราะคนไทยดูถูกผลผลิตของตนเอง   
 ๖.      ข้าวสาลี  แป้งสาลีที่ไม่ได้ขัดสี  เราผลิตข้าวสาลีไม่ได้   ถ้าใช้ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทน
          ก็จะได้ผลใกล้เคียงกัน
 ๗.      แครอท ปลายหนาวทานได้ เพราะเราผลิตเอง  ถ้าในฤดูร้อน ฤดูฝน หรือต้นหนาว ต้องนำเข้า
                        ควรทานอย่างประหยัด (ทานดิบได้ เบต้า แคโรทีน  ๑  หน่วย  ถ้าสุกผ่านความร้อนจะได้
          เบต้า แคโรทีนเพิ่มขึ้นเป็น ๕ -  ๘ เท่า)  จะได้ไม่สูญเสียเงินตรา  หรือจะทาน มะละกอสุก 
          ฟักทอง  มันเทศ  ผลไม้สีเหลืองแดง   และ  ผักเขียวหลายชนิด  แต่ถ้าเชื่อภูมิปัญญาไทย ลองพิจารณา
          -    แครอท  ๑  ขีด (๑๐๐ กรัม)  ได้เบต้า แคโรทีน  ๗,๐๐๐  ไมโครกรัม
                        -    ยอดแค  ที่ชาวบ้านต้มจิ้มน้ำพริก  ๑  ขีด เท่ากัน ได้เบต้า แคโรทีน  ๘,๖๐๐  ไมโครกรัม
                        -     กะเพรา ที่เราทานกันอยู่ทุกวัน  ๑  ขีด  ได้เบต้าแคโรทีน กว่า  ๗,๘๐๐  ไมโครกรัม
                        -     ยอดและดอกขี้เหล็กที่เราทานกันอยู่ทั่วไป ๑ ขีดได้เบต้า แคโรทีน ๗,๒๐๐ ไมโครกรัม
                        -     ใบชะพลู ๑ ขีด ให้เบตา แคโรทีน สูงกว่า  ๗,๐๐๐ ไมโคกรัม สูงกว่าแครอท เสียอีก
            -     ใบและเมล็ดของมะรุม  กำลังเป็นที่น่าสนใจควรศึกษา   ยังไม่ระบุไว้ชัดเจน ณ ที่นี้
               ๘.     ผักจำพวกกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก สีเขียวยิ่งเข้มยิ่งดี   บร็อคโคลีเป็นที่นิยมที่สุด  (เราควร
                        ทานบร็อคโคลี่ให้มากเข้าไว้  เพระให้สารโครเมี่ยม (Chromium) ซึ่งมีสรรพคุณใน
                        การบริหารน้ำตาลได้ดี เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมาก และยังมีเซเลเนี่ยม (Selenium)  
                        ซึ่งช่วยชะลอความแก่ได้วิเศษนัก)   แต่ถ้าต้องการเพียงแค่สาร เบต้า แคโรทีน  ก็ใช้คะน้า
                        แทนได้   ระวังสารพิษเอาหน่อยก็แล้วกัน  (คะน้ามีสารลูเทอีนมากกว่าผักโขมถึง  ๒  เท่า)
๙.    ผักโขม (Spinach)  ที่เจ้า ป๊อป อาย กินนั่นแหละ
๑๐.    ถั่วเมล็ดแข็งทั้งปวง   ถั่วเขียว  ถั่วดำ  ถั่วเหลือง  ถั่วแดง  ประโยชน์สูงสุดจะได้เมื่อเพาะให้
   รากงอกยาว  ๑  ซ.ม.  และไม่ควรรับประทานดิบ  เพราะมีสารพิษอยู่ในตัวของมันเอง 
ใครรังเกียจมะเร็งก็ต้องพยายามทานผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ เบต้า แคโรทีน และไวตามิน C 
มากเข้าไว้   เพราะเป็นตัว Antioxidant  ที่วิเศษสุด ขจัดอนุมูลอิสระได้เก่งนัก    อย่ากลัวว่าจะมากเกิน   และโปรดอย่าลืม ว่า ผักและผลไม้แบบไทย ๆ หรือของนอกแต่ไทยผลิตได้เองนั้นมีมากมาย  ดีกว่าของนอกด้วยซ้ำ  ทานของไทยผลิตเองแล้วไม่จนด้วย
  เบต้า แคโรทีน นั้น ทานมากเท่าไรก็ได้  ถ้าได้จากผักและผลไม้จะไม่มีพิษร้าย  เพราะในผักและผลไม้มี แคโรทีนอยด์ตัวอื่น ๆ  แร่ธาตุต่าง ๆ  ผสมผสานกันอยู่หลากหลาย  ก่อให้เกิดความสมดุลของแร่ธาตุทั้งหลายได้ในตัวเอง  เช่น ในแครอท มีสารที่เป็นแคโรทีนอยด์อยู่กว่า  ๕๐๐  ตัว ซึ่งมีคุณสมบัติเสริมกัน  ถ้าเป็น เบต้า แคโรทีน ที่สกัดมาล้วน ๆ  ต้องระวัง  เคยมีผลการวิจัยว่า  ถ้าทานเข้าไปโดด ๆ  นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งแล้ว  ยังจะเป็นตัวก่อมะเร็งเสียเองอีกด้วยซ้ำ  ทานจากธรรมชาติดีที่สุด
  ไวตามิน C  นั้น ยิ่งทานมากยิ่งดี  เพราะนอกจากจะเป็นตัวขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังจะช่วยสร้าง Collagen  โพรทีนสำคัญยิ่งที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น  มีการบันทึกไว้ว่า ดร. ลีนุส พอลลิง  นักวิทยาศาสตร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ถึง  ๒ ครั้ง ได้รับไวตามินซีมากถึงวันละ ๑๘,๐๐๐  มิลลิกรัม  เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง  ปรากฏว่าท่านสามารถยืดอายุต่อไปได้อีกถึง  ๒๐  ปี  สิ้นชีวิตเมื่ออายุ  ๙๓  ปี   ตัวท่านเองเป็นผู้แถลงว่า ท่านอยู่ได้เพราะไวตามิน C  -
การเพิ่มฮอร์โมนเพศชายและหญิง ด้วยอาหารหาง่ายของไทยเราเอง
 ทั้งชายและหญิง  หากอายุเฉียด  ๓๕  ปี  ฮอร์โมนเพศบางตัวจะลด  หญิงจะวูบวาบ และกระดูกพรุนเร็ว  เมื่อเข้าสู่ระยะวัยทอง (Menopause)   ชายก็มีวัยทอง เรียกว่า Andropause  หากใครเพิ่ม
ฮอรโมนเพศด้วยการรับประทานยาเคมี ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของแพทย์ตลอดเวลา  มิฉะนั้น อาจเสี่ยงต่อมะเร็งหรือความผิดปกติอื่น ๆ   แต่ถ้าเพิ่มโดยวิธีรับประทานอาหารตามธรรมชาติจะปลอดภัย
 ฮอร์โมนเพศบางตัว  ทำหน้าที่บงการให้ต่อมไร้ท่อทำหน้าที่เป็นปกติ  หน้าที่ของต่อมไร้ท่อ
ก็คือไปควบคุมให้อวัยวะทั้งปวงในร่างกายทำหน้าที่เป็นปกติ ไม่บกพร่อง  และยังสร้างเสริมทำนุบำรุงให้ต่อมไร้ท่อเหล่านั้นแข็งแรงสมบูรณ์    พอฮอร์โมนเพศลด  คำสั่งก็ล้า  ต่อมไร้ท่อก็เฉื่อยชา  รวนทั้งระบบ
ชาย  ควรเพิ่มอันโดรเจน (Androgen)  ด้วยการรับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำ   หญิง ถ้า
          อายุเกิน ๔๐ ปี ทานได้เป็นปกติ หญิงในวัยเจริญพันธุ์  ไม่ควรทานเมื่อตรงกับระยะรอบเดือน
       และหญิงอายุระหว่าง  ๑๓ -  ๒๐  ปี ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนมาก  เพราะจะมีหนวดมีเครา
          น้ำมะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวเผา ก็มีผลไม่แตกต่างกันมากนัก
หญิง  ควรเพิ่ม เอสโตรเจน (Estrogen)  ด้วยการรับประทานพริกไทยเพิ่มมากขึ้น   แม้หญิงที่มี
           เอสโตรเจนในร่างกายสูงจะเสี่ยงต่อมะเร็งของหญิง ก็ไม่ต้องกลัว  เพราะได้มีการค้นพบว่า
           หญิงจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งของหญิงได้  ถ้ารับประทานโปรทีนจากถั่วเหลือง คือ เต้าหู้
           เป็นประจำ  โพรทีนจากถั่วเหลือง คือ เต้าหู้ ให้ ไฟโต อูเอสโตรเจน  ซึ่งสามารถลดความ
           เสี่ยงต่อมะเร็งของหญิงได้ดีแต่อย่ารับประทานพริกไทยป่นในแคปซูล  เพราะเมื่อแคปซูล
           ละลาย  สาร แคปไซซีนในพริกไทยจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร 
อาหารที่ช่วยบรรเทาปัญหากระดูกพรุน   
             ดังได้กล่าวแล้วว่าเมื่อฮอร์โมน Estrogen ลด    หญิงจะเกิดปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับกระดูก
เพราะร่างกายของหญิงต้องการแคลเซียมสูง จึงไปเบียดเบียนจากกระดูก  ทำให้กระดูกพรุนและเปราะบาง หักง่าย  อันตราย   ฉะนั้น หญิงต้องเพิ่มแคลเซียมให้แก่ร่างกายมากเป็นพิเศษ  เพิ่มตั้งแต่เด็กได้ยิ่งดี เพราะเป็นการสะสมสร้างกระดูกให้เข้มแข็งไว้ เผื่อเมื่ออายุมากกระดูกถูกร่างกายส่วนอื่นแย่งแคลเซียมก็จะไม่เกิดผลรุนแรงนัก   ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งจะต้องเพิ่มแคลเซียมให้มากเป็นพิเศษ   หญิงที่อายุไม่เกิน  ๓๐ ปี  ควรได้รับแคลเซียม วันละไม่น้อยกว่า  ๑,๕๐๐  มก.  และถ้าอายุเกิน  ๓๕ ปี แล้ว ควรจะได้รับแคลเซียมมากเป็นพิเศษ ถึงวันละไม่น้อยกว่า ๒,๔๐๐ มก. ได้ก็จะยิ่งดี   แต่ส่วนใหญ่เรามักจะมีปัญหาเรื่องไม่รู้จริงและเชื่อคำโฆษณาเกินไป   เช่น
- หลายคนมุ่งมั่นเพิ่มแคลเซียมด้วยการตั้งหน้าตั้งตาดื่มนม ตามคำโฆษณา โดยไม่ได้
       คำนึงเลยว่า  นมสด  ๑ แก้ว ให้แคลเซียมเพียง  ๑๒๐  มก.   ถ้าอายุเกิน ๓๕  ปีแล้ว
       ใครจะดื่มนมเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้แคลเซียมครบตามที่ร่างกายต้องการ ต้องดื่มนม
       สดวันละ  ๒๐ แก้ว  มีใครเคยดื่มได้มากขนาดนี้หรือ  ลองรับประทานอาหารอื่นแบบ
          -  ๑๖  -
       ไทย ๆ บ้าง เช่น กุ้งแห้งตัวเล็กที่ไม่ได้ปอกเปลือก (ดูสีเสียหน่อย ถ้าสีแดงจัด ๆ  เว้น
       เสียได้จะปลอดภัย)   เยื่อเคยจากกะปิ  ปลาเล็กปลาน้อย  งาป่นก็ได้แยะ  พืชผักอีก
       หลายชนิดก็ให้แคลเซียมสูง
- ได้แคลเซียมแล้ว  ถ้าไม่มีไวตามิน ดี  ก็ไม่สร้างกระดูก  จะรอรับเพียงจากแสงแดด
       อ่อนก็คงจะไม่พอ  เพราะมักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับแสงแดดอ่อน  อาศัยจากน้ำมัน
       ตับปลาจะดีกว่า    แถมน้ำมันตับปลายังจะช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบได้ดีด้วย
       (ผลการวิจัยเรื่องนี้เพิ่งออกมาเมื่อไม่นานนี้  มีแคลเซียมแล้ว ถ้าได้แมกนีเซียมเสริม
       ด้วยก็จะดียิ่งขึ้น   แม้กระนั้น ถ้าขาดธาตุโบรอนแล้วจะไม่สร้างกระดูกเลย (สำหรับผู้ที่
       อายุเกิน  ๓๕ ปี)    อย่าลืมเพิ่มโบรอน   คนยุโรปจะทานแอปเปิล  องุ่น   แต่เราคนไทย
      ทาน ถั่วฝักยาว  ถั่วพู  ถั่วเหลือง  ถั่วลิสง และน้ำผึ้งได้จะดี  แต่ถั่วฝักยาว (หรือผักสดอื่น
      ด้วย)     จะทานสด ก็ขอให้นึกถึงฟอร์มาลินไว้บ้าง  ถ้าไม่วางใจ ก็อย่าทานสด    ต้อง
      นึ่งหรือลวก   ร้อนถึง ๔๐  องศาเซลเซียส เมื่อไร  ฟอร์มาลิน จะระเหิดหมด ไม่ตกค้าง
      เป็นพิษ
ความดันโลหิตสูง
 ความดันโลหิตสูงเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายหลายอย่าง   พึงระวังไว้เสมอว่า ธาตุโซเดียม เป็น
ต้นเหตุสำคัญที่สุด   สุดยอดก็คือ โซเดียมคลอไรด์ เกลือธรรมดา ๆ ของเรานี่แหละ   ฝึกทานอาหารจืด ๆ  ไว้
จะได้ผลดี  ถ้ายั้งไม่ได้  ก็ลองทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ๆ ไว้บ้าง จะช่วยได้  ของหาง่ายในบ้านเรา เช่น มันเทศ  หอยลาย  ลูกเกด  โยเกิร์ต  กล้วยหอม  น้ำส้มคั้น  ฯลฯ   ก็ช่วยได้  ทานอาหารเหล่านี้มาก ๆ  ไม่มีทางที่จะมีโปแตสเซียมเกินจนเป็นอันตราย ถ้าได้แมกนีเซียมหนุนด้วยก็ยิ่งดี โปแตสเซียมจะช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่ายกายได้
ไมเกรน-อาการปวดศีรษะข้างเดียว
 ใครเคยปวดศีรษะข้างเดียว ที่เรียกว่า ไมเกรน  จะรู้ดีว่าทรมานแค่ไหน  วิธีบรรเทาอาการโดยใช้ผ้าบาง ๆ หุ้มก้อนน้ำแข็งลูบที่ลำคอด้านหน้าข้างที่ปวดศีรษะ เพื่อลดการขยายตัวของหลอดโลหิตที่ส่งไปถึงศีรษะด้านที่ปวด อาจลดอาการปวดลงได้บ้าง แต่ถ้าจะใช้อาหารเป็นยา  ก็ควรรับประทานอาหารต่อไปนี้
๑.   ขิง ไม่ว่าจะทานสด  สุกผ่านความร้อน  หรือทำเป็นน้ำขิง  ในขนาดพอสมควร (ขิงผง   
         ประมาณครึ่งช้อนชา) ทานตั้งแต่เริ่มมีอาการ  จะช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้ดี 
         เพราะไปสกัดกั้นสารพรอสต้าแกลนดิน ที่ทำให้หลอดเลือดในสมองอักเสบ  ขิงยัง
         ไปยับยั้งการทำงานของ “ศูนย์อาเจียน”  ในสมองได้อีกด้วย  ซึ่งคุณสมบัตินี้ทำให้   
         ขิงเป็นยาแก้เมารถเมาเรือได้ชะงัดนัก   แถมยังมีคุณประโยชน์อีกหลายประการ  เช่น  
         ทำให้กรดในระบบการย่อยมีฤทธิ์เป็นกลาง  และทำให้โลหิตเจือจางไม่อุดตันหลอด
         โลหิตเป็นต้น
  ๒.    ไวน์  มีการวิจัยพบว่า  หากมีอาการปวดไมเกรนไม่รุนแรงนัก ถ้าได้ดื่มไวน์แดงสัก  
                                     ๑  แก้ว  ช่วยระงับอาการไมเกรนได้ระดับหนึ่ง    แต่บางคนกลับเป็นตรงข้าม พอ
                                      เปลี่ยนไปดื่มไวน์ขาว กลับไม่ปวดไมเกรน   ขอให้ถือเป็นยาอันดับสุดท้าย  แล้วก็
                                      อย่าอ้างว่าปวดไมเกรนถี่ขึ้น  จนเขาจับได้ก็แล้วกัน 
ชะลอความแก่ -  แก้อาการเหี่ยว 
 ต้องการชะลอความแก่ อย่ารังเกียจ โคเลสเตอรอล แต่ต้องสร้างสมดุลเป็น  โคเลสเตอรอลมีตั้ง  ๕  ตัว   เล็งไปที่  HDL  ตัวนี้มีคุณอย่างเดียวไม่มีโทษเลย  เพิ่มให้มากเข้าไว้  ใครมี  ๓๕ หน่วย  ถือว่าดีถ้ามีถึง  ๔๕  หน่วยถือว่าดีมาก  ถ้ามีมากขึ้นไปกว่านี้ก็จะยิ่งดีมาก ๆ    แต่  LDL  ที่เป็นตัวร้าย   เป็นตัวที่เกาะผนังหลอดโลหิต    ให้มีได้ในระหว่าง  ๗๐  -   ๑๓๙   หน่วย  มากกว่านี้อันตราย   และเมื่อรวมกันแล้ว ไม่ควรให้โคเลสเตอรอลทุกตัวรวมกันเกิน   ๒๐๐ หน่วย   คุมอาหารไขมันจากเนื้อสัตว์ให้ได้  โดยคำนึงถึงไขมันจากพืช  ซึ่งแม้จะไม่มีโคเลสเตอรอลก็ตาม แต่ไตรกรีเซอไรด์  ก็มีผลต่อร่างกาย   อย่างน้อยถ้ามากเกิน ก็ทำให้อ้วน
 ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปก็คือ  แม้ไม่ได้ทานไขมันใด ๆ เลย  ตับก็ยังจะต้องสร้างโคเลสเตอรอลอยู่ดี  เพราะร่างกายขาดไม่ได้   มิฉะนั้น จะไม่มีฮอร์โมนเพศ   จะโง่  (เกือบ ๑/๓ ของมันสมองประกอบด้วยโคเลสเตอรอล)   และจะเหี่ยว  ยิ่งกว่านั้น  ถ้าร่างกายผลิตโคเลสเตอรอลเมื่อไร ก็จะผลิตไวตามิน Q  ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง   เพราะไวตามิน Q  มีส่วนสำคัญยิ่งในการชะลอความแก่ของมนุษย์ 
  แต่ถ้าไม่ต้องการให้ผิวหนังเหี่ยวย่น  ก็อย่าลืมเพิ่มไวตามิน E  และไวตามิน C  ให้มาก ๆ  เข้าไว้   ไม่ต้องกลัวว่าจะมีมากเกิน  (E  ถึงวันละ ๔๐๐ หน่วยยังได้เลย)   แต่สำหรับไวตามิน C แล้ว  มาก ๆ
ไว้ดีกว่า (เคยบอกไว้แล้ว ว่า ดร. ลีนุส พอลลิง นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก เคยทานไวตามิน C  ถึงวันละ ๑๘,๐๐๐ มิลลิกรัม  ท่านอยู่รอด ชนะมะเร็งได้ถึง  ๒๐ ปี  ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุ  ๙๓ ปี)  อย่าลืมที่บอกไว้แล้วว่า ไวตามิน C เป็นตัวสร้างโปรทีน “คอลลาเจน”  ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกาะเกี่ยวกล้ามเนื้อ (Connective tissue) ใต้ผิวหนังให้ยืดหยุ่น  ไม่กระด้าง  แล้วจะไม่เหี่ยว  หรืออย่างน้อยก็เหี่ยวช้า
  รู้ไว้ย่อ ๆ ว่า โพรทีน Collagen นี้ เกิดจากไวตามิน C ทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโนโพรลีน  ทำให้เกิด ไฮดรอกซี โพรลีน     (เจ้า ไฮดรอกซี โพรลีน ตัวหลังนี้ ร่างกายต้องสังเคราะห์ขึ้นมาเอง  โดยแปรรูปมาจากโพรลีน)   แล้วเจ้าไวตามิน C พระเอกของเรานี่แหละ ร่วมกับ โพรลีน และ ไฮดรอกซี่ โพรลีน   ช่วยกันสร้างคอลลาเจนที่สมบูรณ์ได้  หมั่นเพิ่มไวตามิน C เข้าไว้เถอะครับ  แล้วจะยิ้มได้อย่างไม่กลัวย่น
  พูดถึงไวตามินแล้ว  ก็อดไม่ได้ที่จะขอบอกว่า  ควรทาน ไวตามิน B รวมเป็นปะจำ  เพราะเป็นยาอายุวัฒนะที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพง  ที่สำคัญก็คือ  เขาพบว่า  ไวตามิน B  รวม เป็นตัวสำคัญที่ไป
ขจัด โฮโมซีสเทอีน  ซึ่งเป็นตัวร้ายที่ทำให้ผนังหลอดโลหิตขรุขระ  ซึ่งทำให้คอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) เกาะผนังหลอดโลหิต – ถ้าเป็นหลอดโคโรนารีจนถึงอุดตันก็อาจตายได้)   แต่ถ้าทานไวตามิน B มาก ๆ ก็อย่าทานยาแก้ปวดตระกูลพาราเซตามอลเชียวนะ  มันเป็นตัวแก้พิษของพาราเซตามอล
อาหารที่ได้รับการตกแต่ง และที่เจือสิ่งมีพิษ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
 แต่เดิมอาหารที่ได้จากธรรมชาติ ปลอดสารพิษ  แต่ปัจจุบัน เมื่อการผลิตอาหารดำเนินตามกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม  มีการแต่งสี  แต่งกลิ่น  แต่งรส  มีอันตรายเพิ่มขึ้น  หลีกเลี่ยงได้จะดี  
-    ผักสด ส่วนใหญ่ที่ชุบฟอร์มาลิน จะดูน่ารับประทาน  แต่ลองนึกถึงผลของมัน   ถ้าไม่แน่ใจ ควร
      สละประโยชน์บางส่วน  เช่น  ลวกหรือนึ่ง อุณหภูมิถึง  ๔๐ องศาเซลเซียสเมื่อใด ฟอร์มาลินจะ
     ระเหิดหมด  ไม่ตกค้างเป็นพิษ  แล้ว ล้าง-แช่ ในด่างอ่อน  กรดอ่อน ตบท้ายด้วยไอโอดิน จะลด                           
                    ความเสี่ยงต่อสารพิษได้เยอะ        
-     อาหารแป้งที่ทอดน้ำมัน  ที่ใช้น้ำมันซ้ำนาน ๆ   เกิดสาร อะคริลาไมด์ ที่อาจเป็นพิษ ก่อมะเร็งได้
-     เบคอน  ไส้กรอกบางขนาน  แหนม  ที่ใช้สารดินประสิว (Nitrate,  Nitrite  ) สารนี้เมื่อรวม
       กับสาร Amin ในเนื้อสัตว์  จะเกิดสาร Nitro-samin   สารก่อมะเร็งที่ไม่น่าวางใจ  
- อาหารเสริมอาจให้ประโยชน์  แต่ลองคิดเสียก่อน ว่า ประโยชน์ที่ได้นั้นคุ้มกับที่จ่ายไปหรือไม่  
- มีหลักฐานยืนยันว่า ซุปไก่สกัดยี่ห้อหนึ่งขวดละหลายสิบบาท  แต่มีคุณค่าไม่เกินไข่ไก่ครึ่งฟอง
              ตอนปีใหม่ขายดิบขายดีนัก    แต่ก็ยังไม่เท่ากับการเห่อชาเขียวตอนนี้ ชาเขียวนั้นดีจริง  แต่ถ้า
       มัวแต่เชื่อคำโฆษณาที่หลอกให้หลง เราก็จะดื่มชาเขียวราคา  ๓  บาท ในราคาขวดละเกือบ 
       ๒๐  บาท กันต่อไปไม่รู้จบอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้แหละ
              -      คอลลาเจน ที่ผสมในเครื่องสำอางที่จะทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังยืดหยุ่นไม่กระด้าง แล้วจะไม่
       มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ไม่มีรอยตีนกา  มีคอลลาเจนผสมจริง  แต่จะไม่ได้ผลเลย ถ้าไม่ผสมเซรัมบาง
        ตัวลงไปด้วย  แต่ส่วนใหญ่ของเครื่องสำอางเหล่านี้ไม่ผสมกัน เพราะเซรัมทุกตัวแพงมาก   ถ้า
        ผสมแล้วไม่มีใครซื้อเพราะแพงเหลือเกิน  ใครซื้อชนิดที่ราคาถูก ๆ มาใช้ ก็จะเสียเงินเปล่า  ลอง   
        ทาน มะขามป้อม  ฝรั่ง  และส้ม ตามที่ได้แนะไว้ก่อนนี้แล้ว ก็น่าจะได้ผลดีและประหยัดด้วย
-  เนื้อสัตว์ย่างด้วยความร้อนสูง อามีนของเนื้อสัตว์เจอความร้อนสูงจะเกิดสาร HCA ซึ่งเป็นตัวเร่ง  
        ให้เกิดมะเร็ง  สารตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อที่ไหม้เกรียมเท่านั้น แต่อยู่ในส่วนลึกในเนื้อ  ฉะนั้น  เพียง
         แต่ขูดส่วนที่ไหม้ทิ้งก็ยังไม่หมดอันตราย การปรุงเนื้อสัตว์ควรทำให้สุกด้วยกรรมวิธีที่ไม่ใช้
         ความร้อนสูงจะดีกว่า  ท่านเคยสังเกตไหมว่า เนื้อสัตว์ที่อบด้วยเตาอบความร้อนต่ำนาน ๆ   
         เนื้อจะนุ่มน่าทานมาก   การตุ๋นก็ทำให้เนื้ออ่อนนุ่มน่าทานเช่นเดียวกัน
การควบคุมน้ำหนักโดยวิธีง่าย ๆ ตามธรรมชาติ 
                     การรับประทานอาหารไม่มากเกินไม่น้อยเกิน รู้ว่าอาหารอะไรจะให้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดโทษ  บางคนยกเว้นอาหารบางมื้อไปเลย  (พระภิกษุไม่ฉันภัตตาหารหลังเที่ยง  ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับชาวยุโรปในสมัยโบราณ ที่ไม่ทานอาหารหลังเที่ยงไปแล้ว Supper คืออาหารมื้อเที่ยงวัน) ใครจะยกเว้นอาหารมื้อใดก็ได้ แต่อย่าเว้นอาหารมื้อเช้า  เพราะเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกาย   ยิ่งพวกที่เว้นมื้อเช้าแต่ไปหนักมื้อเย็น
ด้วยแล้ว ควรจะต้องทบทวนดูบ้าง  ก็คงเหมือน ๆ กับการออกกำลังกายด้วยการวิ่งตอนเช้านั่นแหละ  เดี๋ยวนี้เขารู้กันแล้วว่ามันเป็นอันตรายมากกว่าเป็นคุณ
  ลองพิจารณาสัดส่วนของอาหารแต่ละมื้อต่อไปนี้ 
  ๑.   มื้อเช้า  หนักที่โปรทีน ประมาณ  ๒๐ %  ของอาหารทั้งวัน   อาหารอื่นเป็นเพียงส่วน
         ประกอบ  โปรทีนดีที่สุดก็คือปลา   แต่อย่าทานปลาทอด  โอเมก้า - 3  จะสูญสลายไป
หมดจากการทอด ไม่ว่าจะด้วยน้ำมันอะไร  ถ้าทานเนื้อสัตว์จะต้องใช้เวลาย่อยนานมาก   
เนื้อบางชนิดใช้เวลาย่อยถึง ๖ ชั่วโมง  ควรทานมะละกอดิบ  (ส้มตำมะละกอ)  และ
สับปะรดด้วยช่วยย่อยได้ดี  แถมยังได้เซโรโทนิน ที่ทำให้ไม่อิดโรยด้วย  (ผู้เขียนเป็น
โรคเก๊าท์อย่างแรง จึงทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆ น้อยลง แต่ทานปลาเสมอ   ส่วนที่ขาดไม่ได้
 คือไข่ไก่วันละ ๔ ฟอง เป็นประจำ โดยไม่กลัวโคเลสเตอรอล  เพราะปลาให้โอเมก้า - 3   อย่างสม่ำเสมอและมากพอที่จะสร้างสมดุลของโคเลสเตอรอลได้    แต่อย่าทานปลาทอด 
     เพราะการทอดทำให้สูญเสีย  โอเมก้า -  3   ถ้าทานปลาไม่มากพอ ก็ทานน้ำมันปลา
     (Fish oil)  ชดเชยให้เพียงพอ )
  ๒.    มื้อกลางวันประกอบด้วย   คาร์โบไฮเดรตประมาณ ๑๕ %   และไขมัน  ๕ %
 อื่น ๆ  เป็นส่วนประกอบ  ที่สำคัญ คือ น้ำมันอะไรก็ได้ วันละ  ๔ ช้อนโต๊ะเท่านั้น
๓.  มื้อเย็นประกอบด้วยผักและผลไม้หลากหลายชนิด  รวมประมาณ  ๖๐ %  ของอาหาร
 ทั้งวันจะได้ผล   สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดี   ประโยชน์ทางโภชนาการก็ดีด้วย   แต่
           ถ้าใครอดทานข้าวไม่ได้สำหรับมื้อเย็น  บางคนต้องขนมไทยหวาน ๆ ตอนค่ำด้วย  ก็
                                    ลองหาส้มแขกมาทานดูบ้าง  เพราะส้มแขกมีสารสำคัญ คือ  Hydroxy citric acid 
                                    ซึ่งจะไปคุมไม่ให้แป้งและน้ำตาลผันไปเป็นกลูโคส  ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้ออกเป็นพลังงาน
                                    จะกลายไปเป็นไขมันสะสมอยู่ในที่ต่าง ๆ  ที่จะทำให้อ้วน  แต่เจ้าส้มแขกจะผันแป้ง
                                    และน้ำตาลส่วนเกินนั้นให้กลายไปเป็นอัณยรูปหนึ่งของคาร์โบไฮเดรต  ที่เรียกว่า
                                    Glycogen  สะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ เป็นพลังงานสำรอง  เมื่อไรร่างกายต้องการ
                                    ก็จะใช้ประโยชน์ได้ทันที   แม้แต่เมื่อออกกำลังกายตอนเช้าก็จะใช้พลังงานส่วนนี้ได้
                                    โดยไม่มีอันตราย    แต่อย่าลืมว่า ส้มแขกไม่สามารถไปลดหรือคุมไขมันอื่น ๆ ได้ 
         ถ้าไม่ลดอาหารที่ให้ไขมันทั้งหลายตามสมควร  ส้มแขกก็ไม่มีทางเยียวยาได้เลย
 กินเหล้าอย่างไรจึงจะไม่ตายเพราะเหล้า
  ศีลข้อ  ๕  ไม่ดื่มเหล้า   มุสลิมห้ามดื่มเหล้าและห้ามกินหมู   แต่ถ้าไม่มีอาหารใด ๆ เลย  หมูก็ยังกินเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้  แต่เหล้าห้ามเด็ดขาด  แม้ไม่มีเครื่องดื่มใด ๆ เลย ก็แตะต้องเหล้าไม่ได้     ในขณะเดียวกับที่ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า  งานเลี้ยงใดไม่มีเหล้าย่อมไม่ใช่งานเลี้ยง   และคนฝรั่งเศสถือว่าใครไม่ดื่มแชมเปญ
ในขณะที่มีการดื่มอวยพร ถือว่าผู้นั้นทำผิดมรรยาทอย่างร้ายแรง    ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร   คนส่วนใหญ่ก็ยังชอบดื่มเหล้ากันอยู่   ถ้าจะยังดื่มกันต่อไป ก็ควรจะดื่มให้เป็น   แต่ถ้าไม่ดื่มเหล้าได้จะดีที่สุด
  อัลกอฮอลเป็นพิษ  เมื่อไรดื่มเหล้า  เซลล์ของตับจะทำหน้าที่ย่อยสลายอัลกอฮอลทิ้ง  โดยจะหยุดย่อยอาหารอื่น ๆ หมด  ยกเว้นเนื้อสัตว์บางประเภท   และตับของคนไทยจะย่อยอัลกอฮอลทิ้งได้เพียงประมาณชั่วโมงละ  ๗  กรัม   ถ้าดื่มเหล้ามากและทานอาหารมากด้วย   ตับย่อยไม่ทัน  ก็จะเกิดอาการเมาค้าง (Hang over)    ถ้ามีอาการนี้ห้ามดื่มถอนเมาและอย่าทานอาหารใด ๆ จนกว่าจะรู้สึกหิว  ซึ่งแสดงว่าร่างกายกลับเข้าสู่ระบบปกติแล้ว
  ที่สำคัญยิ่ง คือ ในการย่อยสลายอัลกอฮอล  จะเกิดสารเคมีตัวหนึ่งเป็นผลพลอยได้ เรียกว่า
อาซิโทนัลดิไฮด์   ซึ่งมีพิษเป็น  ๒๐๐  เท่าของอัลกอฮอล   เซลล์ของตับจะตายทันที  ตับจะลีบลง  นั่นก็คือ
ตับแข็ง     ถ้าตับแข็งถึงขนาดย่อยอาหารเป็นประโยชน์ไม่ได้และย่อยสลายสารพิษไม่ได้ด้วย  ตับจะเริ่มบวมถ้าถึงขั้นนี้ อย่าประมาท  ต้องเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ  รีบติดต่อวัดไว้ล่วงหน้า  คงจะต้องใช้บริการของวัดแน่  วิธีหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายจากการดื่มเหล้าดังกล่าวคือ  ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องรับประทานเนื้อสัตว์ด้วยเสมอ  เพราะกรดอะมิโนจากโปรทีนจากเนื้อสัตว์จะไปช่วยย่อยสลายอัลกอฮอลทิ้งแทนตับ  และถ้าทำปฏิกิริยาเป็นหมู่ เซลล์ของตับพลอยตายไปด้วย  กรดอะมิโนเหล่านี้ยังสามารถสร้างเซลล์ตับขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปแล้วได้บางส่วนด้วย    กับแกล้มที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์จะไม่สามารถช่วยได้เลย    ฉะนั้น  ใครถือปฏิบัติมังสวิรัติแล้วดื่มเหล้าถือว่าเสี่ยงตายโดยสมัครใจ
  ยังมีวิธีอื่นที่ควรพิจารณาปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก  คือ
๑. ใน  ๑  สัปดาห์ ถ้าดื่มเหล้า  อาจดื่มได้ถึง  ๕ วัน  แต่ต้องหยุด  ๒ วัน ให้ตับพักผ่อน
๒. ดื่มคนเดียว  ไม่ว่าเหล้าอะไรที่แรงถึง  ๔๐ ดีกรี  หมด  ๑  กั๊กใน  ๑ วัน พอได้  แต่ถ้าดื่มหมดถึงครึ่งขวด คนเดียว ในหนึ่งวัน  มากที่สุดแล้ว   และถ้าดื่มหมด  ๑ ขวด คนเดียวในวันเดียว  รับรองว่าไม่กี่ขวดตายแน่
๓. อย่าดื่มเหล้าที่แรงเกิน  ๑๕  ดีกรี  เพราะเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์ทนไม่ได้  ต้องผสมให้เจือจาง  จะผสมด้วยน้ำโซดาหรืออื่น ๆ ก็ได้
๔. เหล้าไทยอย่าดื่ม   เพราะไม่ได้ขจัดสารพิษ เช่น  ฟอร์มัลดิไฮด์  และไขมันอุดตัน (Fusal oil)  ออกเลย
 วิธีปฏิบัติเพื่อเพิ่มเส้นผม
  ตามปกติ เรามีเส้นผมอยู่ประมาณ  ๑๐๐,๐๐๐ เส้น  ร่วงวันละประมาณ ๑๐๐ เส้น แต่เกิดใหม่ขึ้นทดแทนอยู่เรื่อย ๆ   จนสังเกตไม่ได้    แต่พอล่วงวัยขึ้น ชายบางคนผมจะร่วงมากขึ้นและร่างกายสร้างเส้นผมใหม่ขึ้นทดแทนไม่เพียงพอ   
เมื่อประมาณ  ๑๐  ปีมาแล้ว ได้มีการประกวดการปลูกเส้นผมที่ประเทศอังกฤษ ชายคนหนึ่ง
ชื่อ  Mr. James Olham  สมัครเข้าประกวด  ใช้เวลาปฏิบัติอยู่  ๑๘  เดือน เส้นผมเพิ่มขึ้น  ๖๐ % โดยปฏิบัติ  ๕  ข้อ ต่อไปนี้
๑. ไม่ดื่มกาแฟ  ชา  และน้ำอัดลม  กับไม่สูบบุหรี่
๒. ดื่มน้ำแร่ทุกวัน  ๆ ละไม่น้อยกว่า  ๑.๕  ลิตร
๓. รับประทานผลไม้หลากหลายชนิด  รวมแล้ววันละไม่น้อยกว่า  ๕  ถ้วยหวาน
๔. รับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสีสูงเป็นพิเศษ(สังกะสีเป็นตัวสร้างโปรทีนที่สำคัญ
มีมากในอาหารทะเลจำพวกหอย โดยเฉพาะหอยนางรม  แต่ระวังไว้ หอยทั้งหลายมีโลหะหนักปนเปื้อนมาก  เมล็ดฟักทอง และเนื้อสัตว์  ผมทานเป็นแคปซูลเลย  แม้ร่างกายต้องการน้อย  แต่ขาดไม่ได้ เพราะสังกะสีบำรุงสมองดีมาก  สร้างภูมิคุ้มกันโรค
ต่าง ๆ ใครมีสังกะสีในตัวจะไม่เป็นหวัด  ทั้งอยู่เบื้องหลังเรื่องสำคัญ เช่น คุมต่อมลูกหมากได้ดี  และอยู่เบื้องหลังสมรรถภาพทางเพศอย่างสำคัญด้วย   และควรจะรู้ด้วยว่า สังกะสีและซีลีเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สเปิร์มขาดไม่ได้เลย)
๕. ก้มศีรษะให้ศีรษะจรดพื้น เพื่อให้โลหิตลงไปเลี้ยงส่วนศีรษะ ถ้ายกเท้าขึ้นสูงแบบโยคะก็อาจได้ผลยิ่งขึ้น  ปฏิบัติเช่นนี้วันละ  ๒  ครั้ง  ๆ ละ  ๓ -  ๔  นาทีปฏิบัติอยู่  ๑๘  เดือนได้ผล   ลองพิจารณาปฏิบัติดู  ดีกว่าเสี่ยงกินยาประเภทฮอร์โมนบางชนิด  ซึ่งมีผลเพิ่มเส้นผมได้ก็จริง แต่จะทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหมด  อย่าเสี่ยงดีกว่า  (อีกไม่นาน อย. อเมริกันน่าจะอนุญาตให้ผลิตยาชนิดหนึ่งที่ทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นโดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียสมรรถภาพ  ออกจำหน่ายได้  รอกันอีกหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังเลย)
หมายเหตุ   -    ข้อมูลข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้นจากการถือปฏิบัติตามแนวทางที่ได้จากการ 
                        รวบรวมข้อมูล ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ซึ่งหลายเรื่องได้
                         เปลี่ยนแปลงไปเป็นตรงข้ามกับหลักการเดิม  และเมื่อปฏิบัติแล้วได้ผลจริง จึงได้
           นำมาบันทึกไว้ เผื่อท่านที่สนใจจะพิจารณานำไปเลือกลองปฏิบัติดูบ้างตามสมควร 
           แต่โปรดนึกถึงคำว่า ลางเนื้อชอบลางยาด้วย      
     -     เอกสารนี้ไม่ได้อ้างแหล่งที่มาของข้อมูล และไม่ถือว่าเป็นเอกสารทางวิชาการ   แต่
            พร้อมที่จะชี้แจง อธิบายรายละเอียดประกอบให้กระจ่างขึ้นได้เสมอ 
แนวทางในการกินอยู่เพื่อสุขภาพ PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2010 เวลา 17:13 น.

โดย  ดร.สันทัด ศะศิวณิช

  ทุกคนต่างปรารถนาที่จะมีความสุข  คนไทยถือว่าปัจจัยสำหรับชีวิตมีอยู่ ๔ ประการ  แต่ชาวโลกถือกันว่าปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตมีอยู่ ๘ ประการ โดยถือว่าการมีสุขภาพดีและอายุยืนเป็นปัจจัยแรก  ถ้าเลือกทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  เหมาะสมต่อสภาพการณ์ในวิถีชีวิตของตนเองได้  สุขภาพจะดี  และชีวิตนี้มีสุข
  คำว่า สุขภาพ แปลตรง ๆ ว่า ภาวะแห่งความสุข ซึ่งกินความรวมไปถึงภาวะแห่งความสุข ทั้งทางกายและทางจิตได้อย่างกว้างขวางแทบจะไม่มีขอบเขตจำกัด ในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะแนวทางการใช้ชีวิตที่เกี่ยวกับการกินอยู่ที่เรียบง่ายและทำให้เรามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายดี  ที่ทุกคนอาจนำไปวิเคราะห์ว่าควรเลือกปฏิบัติตามวิธีที่เหมาะสมต่อวิถีชีวิตของตนเองได้หรือไม่ เพียงใด
  ความพอเหมาะพอดีเป็นเรื่องสำคัญ  แม้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แต่ถ้าขาดสุขภาพจิตที่ดีก็ถือว่ามีสุขภาพดีไม่ได้ และในทางตรงข้ามถ้าสุขภาพจิตดีแต่ละเลยการรักษาสภาพกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ตามสมควร  ก็ไม่เป็นการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง  สุขภาพทั้งสองด้านควรจะดีพร้อม  การจะมีสุขภาพดีได้เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับการพัฒนาบุคลิกภาพและการรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีประกอบกันไปด้วย
จิตและกายของมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์  ปัจจุบันศึกษาพบว่าจิตและสมองมนุษย์มีสมรรถนะสูง เหนือกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุด ถึง  ๔,๐๐๐  เท่า   และร่างกายของมนุษย์มีสมรรถนะสูงเช่นเดียวกัน  อย่างน้อยร่างกายสามารถทำนุบำรุงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในตนเองได้เป็นอย่างดี  เพียงแต่ขอให้มีสารวัตถุดิบ ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการทำนุบำรุงซ่อมแซมให้เพียงพอไม่ขาดหรือเกินเท่านั้น  
  ที่สำคัญ คือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว  จิตเป็นผู้นำ  กายเป็นผู้ตาม  ถ้าจิตมุ่งมั่น  กายจะปฏิบัติตามให้สอดคล้องเพื่อบรรลุเป้าหมาย   ถ้าได้พัฒนาสภาพจิตและสภาพกายให้สมบูรณ์เข้มแข็งสัมพันธ์กัน ชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข
  รูปลักษณ์ทางกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ  ตั้งแต่เกิดจนตาย ผันแปรไปตามวัฏจักรของชีวิต   แม้จะมีการประเมินว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์น่าจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ  ๑๐๐ ปี  โดยคำนวณตามเกณฑ์ธรรมชาติของสัตว์โลก ที่ถือเอาอายุเมื่อร่างกายแข็งแรงที่สุดคูณด้วย ๕ เป็นอายุขัยโดยประมาณ   ซึ่งเมื่อประเมินว่าร่างกายของมนุษย์แข็งแรงที่สุดเมื่ออายุ  ๒๐ ประมาณปีเศษเล็กน้อย  อายุขัยของมนุษย์จึงน่าจะอยู่ที่ราว ๆ   ๑๐๐ ปี  แต่อายุของแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากัน   ขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน  และความมุ่งมั่นในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอยู่อย่างสม่ำเสมอและให้ทันพัฒนาการของโลกที่กำลังเข้าใจวิธีการกินอยู่ที่ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติได้ยิ่งขึ้น
  องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเมื่อกลางปี พ.ศ.๒๕๔๕  ว่า  แต่เดิมเกณฑ์อายุเฉลี่ยของประชากรโลก คือ  ๕๙  ปี    บัดนี้ เกณฑ์เฉลี่ยอายุของประชากรโลกได้เพิ่มขึ้นเป็น ๖๙ ปี แล้ว  และคาดหวังว่า อีก ๖๐ ปีข้างหน้าเกณฑ์อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะยืนยาวถึง  ๑๐๐ ปี    ยิ่งกว่านั้น เมื่อสิงหาคม ๒๕๔๙ ได้มีการคาดหวังกันทั่วโลกว่า ในปี พ.ศ.๒๕๖๗ ประชากรโลกจะมีอายุเฉลี่ยถึง ๑๒๕ ปี   แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้มีผู้พยากรณ์ไว้อีกด้วยว่า ชีวิตมนุษย์น่าจะยืนยาวได้ถึง ๑๕๐ ปี  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบการรักษาสุขภาพเป็นสำคัญ   
  ไม่ว่าจะคาดหวังกันไว้อย่างไรก็น่าเชื่อได้ว่าจะเป็นไปได้ตามที่คาดหวัง  เพราะในปัจจุบันเราได้ค้นพบการกำเนิดของเซลล์แมโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย  ถ้าเซลล์นี้ลดลงเมื่อไร ร่างกายมนุษย์ก็จะหย่อนสมรรถภาพในการต่อต้านโรคร้าย ซึ่งทำให้ร่างกายของมนุษย์อ่อนแอและชราลงไปเรื่อย ๆ  ขณะนี้กำลังพัฒนาที่จะสร้างเซลล์ชนิดนี้ขึ้นมาเพื่อเพิ่มให้แก่ร่างกายมนุษย์   นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีความก้าวหน้าในการสร้างและพัฒนา “สเต็มเซลล์” (Stem cell)  ซึ่งเป็นเซลล์ตัวอ่อน ที่สามารถปลูกถ่ายลงในอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย  สเต็มเซลล์นี้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นเซลล์ที่สมบูรณ์ ชดเชยหรือทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสลายลงไปเมื่ออายุมากขึ้นได้  เซลล์ต่าง ๆ จะเริ่มสลายหรือลดลงเมื่ออายุประมาณ   ๓๕  ปี  (ยกเว้นเซลล์สมองที่จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นทดแทนได้เลย หากเซลล์สมองส่วนใดเสื่อมสลายไป)   เพียงแต่ยังจะต้องพัฒนากันต่อไปอีกระยะหนึ่ง  ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะมีผลทำให้ร่างกายมนุษย์แก่ช้าลง  หรือมีอายุยืนขึ้น
   ที่สำคัญ คือ ได้มีการค้นพบว่า ร่างกายของมนุษย์เมื่อมีอายุมากขึ้นจะเสื่อมโทรมลงด้วยอันตรายที่ได้รับจากอนุมูลอิสระ (Free radical)  ที่ทำลายเซลล์ร่างกายของเรา และเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ  จึงได้มีการตื่นตัวในการเพิ่มสารอาหาร เกลือแร่และไวตามินที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  หรือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ  ซึ่งจะมีผลให้อายุยืน และไม่แก่ชราไปตามวัยด้วย   จึงหวังได้อย่างมั่นใจว่า เราจะมีอายุยืน พร้อมกับมีสุขภาพและสามารถดำรงรักษาสมรรถนะให้ดีอยู่ได้  แม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม
  การมีสุขภาพดีนั้น  ต้องรักษาทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย   ในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพกาย  เราสมควรติดตามความเคลื่อนไหวของโลกในเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพอย่างใกล้ชิด  เพราะโลกในปัจจุบัน กำลังก้าวผ่านยุคข้อมูลข่าวสารเข้าสู่ยุคใหม่ คือ “ยุคสุขภาพ”   ทั่วโลกจึงกำลังให้ความสนใจต่อเรื่องสุขภาพมากขึ้น   โดยเฉพาะในเรื่องโภชนาการ  ซึ่งมีการวิจัยมากหลายที่ได้ผลตรงกันว่า มนุษย์ปฏิบัติผิดในเรื่องโภชนาการมานาน  จนทำให้สุขภาพของมนุษย์ทั่วไปเสี่ยงต่อโรคร้าย อาทิ มะเร็งและโรคหัวใจ   จึงได้มีการปรับระบบโภชนาการ  แม้แต่อาหารหลักที่เคยแบ่งออกเป็น  ๕ หมู่  ก็ได้ปรับหมู่กันใหม่แล้ว คนส่วนใหญ่ละเลยการรักษาสุขภาพ (Health)  และพลานามัย (Fitness)     ปล่อยให้สุขภาพทรุดโทรมจนเสียรูปลักษณ์ที่ดี จนไม่เป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสของผู้พบเห็น   ยิ่งถ้าอยู่ในฐานะผู้นำหรือผู้บริหาร ปล่อยให้ตนเองอยู่ในสภาพที่ทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชารู้สึกเวทนาสงสารด้วยแล้วจะทำให้เสียสง่า และมีผลทำให้การปกครองเสื่อมลงได้  ยิ่งกว่านั้น หากเจ็บป่วย มีอาการน่ารังเกียจ จะทำให้บุคคลรอบข้างไม่ต้องการเข้าใกล้ เนื่องจากเกรงจะติดโรคร้ายจากผู้ป่วย  
   สุขภาพทางกายของแต่ละคนมีผลกระทบต่อความรู้สึกของบุคคลรอบข้างเสมอ    แม้แต่เมื่อเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่รุนแรง เช่น หวัดธรรมดา ถ้ามีอาการไอหรือจาม คนรอบข้างก็ไม่อยากเข้าใกล้ หรือเป็นโรคผิวหนังที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น  แต่ก็จะทำให้คนรอบข้างรังเกียจ ยิ่งถ้าเป็นโรคร้ายแรงก็จะยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้น   ถึงแม้จะรู้ว่าโรคนั้นไม่ติดต่อ แต่ก็ยังอาจหวาดระแวง
     ฉะนั้น ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคใดก็สมควรจะรักษาให้หายเรียบร้อย ระหว่างที่ยังมีอาการของโรคอยู่ ไม่ควรไปร่วมงานสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น    แม้แต่ผู้ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่ปล่อยให้ร่างกายผอมหรืออ้วนเกิน หรือมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ก็อาจทำให้คนรอบข้างเสื่อมความนิยมลงได้    และถึงแม้ใครจะไม่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพในฐานะเป็นส่วนสำคัญของบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส  แต่การมีสุขภาพดีและอายุยืนก็เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของชีวิตมนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว
    เรื่องสำคัญเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ คือ การบริหารจิตและการบริหารกาย ที่ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และให้สอดคล้องกับระบบการกินอยู่ ที่ถูกต้องเหมาะสมแก่วัยและสภาพร่างกายตลอดจนวิถีชีวิตของแต่ละคน ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันด้วย
แนวทางในการบริหารจิตและกายให้มีสุขภาพดี

  มีวิธีการที่ง่ายที่สุดในการบริหารจิตและกายในวิถีชีวิตประจำวันของคนทั่วไป  ดังนี้
๑. การบริหารจิตด้วยการทำสมาธิ (จิต)
๒. การบริหารกายด้วยการเดินเร็ว  (กาย)
๓. การว่ายน้ำ  (กายทุกส่วน)
๔. การเต้นรำจังหวะบอลรูม หรือแอโรบิค หรือรำวงมาตรฐาน (เป็นการบริหารทั้งจิตและกายพร้อมกัน)

  การบริหารสุขภาพจิตและสุขภาพกาย แท้จริงแล้ว เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพด้วยการพัฒนารูปลักษณ์ทางกาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบแรก ของบุคลิกภาพนั้น มีสาระสำคัญยิ่งอยู่ที่การรักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงกับปรับรูปลักษณ์ให้ดีเป็นหลัก  ส่วนการแต่งกายนั้นเป็นส่วนประกอบให้ดูดีขึ้นเท่านั้น
  การพัฒนาบุคลิกภาพองค์ประกอบที่  ๒  คือภูมิรู้ สติปัญญา  ทัศนคติ  รสนิยม และสำนึกในทางจริยธรรมและคุณธรรม  ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบริหารจิต
การพัฒนาบุคลิกภาพองค์ประกอบที่  ๓  คือ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์  ก็เป็นเรื่องของการบริหารจิต
  เมื่อได้มีการบริหารจิตและกาย ซึ่งเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งสามองค์ประกอบข้างต้นให้ดีขึ้นมาได้เท่าไร ก็จะประกอบกันทำให้เกิดมรรยาท ซึ่งเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของบุคลิกภาพ   
 การบริหารจิตและกาย   ตามที่กล่าวถึงข้างต้นมีวิธีการที่ง่ายต่อการปฏิบัติและได้ผลดี  มีดังนี้
๑) การสมาธิ (Concentration) จิตของมนุษย์มักจะเคลื่อนไหววอกแวกอยู่เสมอ  การ
สมาธิเป็นวิธีฝึกการควบคุมจิต  โดยการรวบรวมจิตที่วุ่นวายกระจัดกระจายให้สนิทนิ่ง  ถ้าสงบจิตให้นิ่งได้หนึ่งขณะจิต จะเป็นการตั้งสติ และถ้าสามารถรักษาสติให้ต่อเนื่องเกินหนึ่งขณะจิตได้ นั่นก็คือการเกิดสมาธิขึ้นแล้ว  เป็นการเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง  เป็นการเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งขึ้น  ซึ่งจะมีผลให้การปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ประสพความสำเร็จดียิ่งขึ้น   ได้มีการศึกษาพบว่า โดยทั่วไปมนุษย์ใช้พลังจิตเฉลี่ยประมาณ ๗ %  ของพลังจิตที่ตนมีอยู่โดยธรรมชาติ การฝึกสมาธิจะเป็นการปลุกพลังจิตส่วนมหาศาลถึง   ๙๓ % 
ที่ถูกละเลยทอดทิ้ง  ให้มีความเข้มแข็ง แล้วสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้เรื่อย ๆ 
๒)   การเดินเร็ว ๆ   การเดินเร็ว ๆ  เพื่อบริหารร่างกายนี้ ความจริงแล้วเป็นการเดินจงกรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้เป็นวิธีการบริหารร่างกาย  ซึ่งเป็นการตรงข้ามกับการสมาธิเพื่อบริหารจิต เป็นการสร้างสมดุลระหว่างจิตและกาย  เนื่องจากในขณะสมาธิร่างกายจะสงบนิ่ง เมื่อพ้นจากสมาธิแล้วจำเป็นต้องบริหารกายเป็นการชดเชย   แต่การเดินจงกรมนั้นอาจเป็นการบริหารกายและบริหารจิต ไปพร้อม กันด้วยก็ได้ หากผู้ปฏิบัติมีสมาธิ รู้สำนึกในอิริยาบถของตนได้ทุกขณะที่ก้าวเท้าเดิน 
๓)  การว่ายน้ำ  เป็นการบริหารร่างกาย ที่ได้ผลดีต่อกล้ามเนื้อทุกส่วน และเป็นการบริหารระบบการหายใจที่ดีได้ด้วย 
๔)   การลีลาศจังหวะบอลล์รูม หรือการรำวงมาตรฐาน   เป็นการบริหารทั้งจิตและกาย คือ การฟังเพลง แล้วกำหนดจิตไปที่เพลง จะได้บริหารจิต  และพร้อมกันนั้นการก้าวเท้าไปตามจังหวะและลีลาที่มีรูปแบบมาตรฐาน จะเป็นการบริหารกาย สอดคล้องกับการบริหารจิต  การเต้นแอโรบิค  หรือรำมวยจีน ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน  ๔ ประการข้างต้น จะต้องปฏิบัติเป็นเวลา
ไม่น้อยกว่า  ๓๐  นาที    ซึ่งหากปฏิบัติต่อเนื่องได้เกิน ๓๐ นาทีแล้ว  ร่างกายจะหลั่งสาร  Endorphine    (Endo = จากร่างกาย,  morphine = สารในฝิ่น)  คือ จะได้เสพฝิ่นโดยไม่ต้องเสียสตางค์และไม่ผิดกฎหมาย  ทั้งยังได้รับในขนาดที่พอเหมาะ  เพราะร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง หรือที่มีผู้เรียกว่า “สารแห่งความสุข”  ซึ่งจะทำให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิต เข้มแข็ง  กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย   และเป็นสุข

การรักษาสุขภาพจิต  แนวทางในการบริหารจิตให้มีสุขภาพดี  คือ คำนึงถึงสาระในธรรมะ ที่เรารู้ดีกันอยู่แล้ว  ถ้านำมาปรับใช้ในทางปฏิบัติด้วยความเข้าใจ  แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ก็จะทำให้เราเกิดความสุขในจิตได้ง่าย ๆ   ไม่
ต้องถึงขนาดไปฝึกปฏิบัติธรรม เพียงแต่มุ่งมั่นปฏิบัติด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก   ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบการบริหารต่าง ๆ  รวมทั้งการบริหารเวลา  ในแนวทางที่เป็นการสร้างเสริมสุขภาพจิตในการทำงานทั้งสิ้น     เราได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นได้หรือเปล่า ?
การจะศึกษาแนวทางการรักษาสุขภาพจิตที่ดี  ไม่ต้องไปแสวงหาตำรับตำราที่ไหน  เพียงแต่ศึกษาและหมั่นปฏิบัติตามสาระในธรรมะในพระพุทธศาสนา ด้วยความเข้าใจอย่างง่าย ๆ  ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้ว ก็จะประสพผลสำเร็จได้     แต่ส่วนใหญ่สวดมนต์โดยไม่เข้าใจความหมาย และทำบุญโดยหวังผลอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อสุขภาพจิต

การรักษาสุขภาพกาย     สภาพกายของมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติ   ได้กล่าวแล้วว่า อายุขัยของมนุษย์โดยเฉลี่ยควรจะอยู่ที่ประมาณ ๑๐๐  ปี   ซึ่งหลักการนี้น่าจะเป็นจริง   ตามที่ได้กล่าวแล้วว่าเมื่อกลางปี ๒๕๔๕  องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า  ในอีก  ๖๐  ปีข้างหน้า  อายุเฉลี่ยของประชากรโลกจะอยู่ที่  ๑๐๐  ปี    แต่จะมีอายุยืนได้ถึง ๑๐๐ ปีหรือไม่  ขึ้นอยู่กับการที่เราจะใช้ชีวิตเป็นหรือไม่   ปรับสุขภาพจิตและรักษาสุขภาพกายให้ดีได้หรือไม่     พูดง่าย ๆ ถ้าจะอยู่ให้ถึง  ๑๐๐  ปี ก็ต้องกินอยู่ให้เป็น    การบริหารกายและการกินอยู่เพื่อให้มีสุขภาพดีนั้นน่าจะต้องศึกษาติดตามรับความรู้ใหม่ ๆ ที่พัฒนาไม่หยุดยั้ง  เพราะแนวทางปฏิบัติแต่เดิมนั้น บางอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก  ถึงขนาดเป็นตรงข้ามจากหลักการเดิมก็มี  แนวใหม่ ๆ ที่มีให้เลือกอาจมีวิธีการที่จะส่งผลดีอย่างแท้จริงหรือไม่ก็ได้  ต้องพิจารณา  แต่ที่น่าจะพิจารณามากที่สุด ก็คือ การปรับวิถีชีวิตให้ย้อนไปหาแนวทางการกินอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์ในภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น เริ่มจะเป็นหลักการที่ชาวโลกยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง
  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ แต่เดิมมีความนิยมที่จะออกกำลังกายอย่างหนักในตอนเช้า  ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า ออกมาวิ่งกันเป็นชั่วโมง  แต่จากผลการวิจัยใหม่ ๆ กลับห้ามออกกำลังกายอย่างหนักตอนเช้า เพราะพลังงานสำรองของร่างกายเป็นสูญ พลังส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารเมื่อวันวานได้ผันไปเป็นไขมันเก็บสะสมไว้เป็นความอ้วนเรียบร้อยแล้ว  จะผันกลับมาเป็นพลังงานสำหรับการบริหารร่างกายได้ยาก ต้องไปเบียดเบียนพลังงานสำรองจากอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจมีผลทำให้ร่างกายส่วนนั้น ๆ อ่อนแอลง  ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพกายได้  ข้อแนะนำที่ดีที่สุดคือ ให้ออกกำลังกายตอนบ่าย หรือตอนเย็นหลังจากอาหารเย็นแล้วไม่น้อยกว่า  ๑  ชั่วโมงจึงจะเป็นผลดี อย่างน้อยก็ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารกลางวันและอาหารมื้อเย็น  ไม่ให้ไปสะสมเป็นไขมันในระหว่างที่เรานอนหลับ
  และยังได้มีการวิจัยพบว่า  เวลาบ่าย  ราว ๔ - ๕ โมงเย็นเป็นเวลาที่ปอดกำลังขยายตัวเต็มที่ ควรออกกำลังกายตอนนั้น จะปั๊มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากที่สุด  หรือเวลาเย็นกว่านั้นก็ยังดีกว่าเวลาเช้า แต่ไม่ว่าจะดำเนินตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ใด ที่สำคัญคือควรจะเคารพธรรมชาติให้มากที่สุด  ปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตที่คนไทยยึดถือเป็นหลัก คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  (แต่ปัจจัยสำหรับชีวิตตามที่ชาวโลกทั่วไปถือปฏิบัติมีมากกว่านี้   เขาถือกันว่ามี  ๘ ประการด้วยกัน)  ถ้าได้พิจารณาปัจจัยที่เรามีและใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยนำเอากฎเกณฑ์ของสังคมมาพิจารณาประกอบด้วย  แล้วปรับตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกต้องและพอเหมาะ  เราจะมีสุขภาพกายดีได้เสมอ
  ในเอกสารนี้จะไม่กล่าวถึงเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย  เพราะอาจศึกษาได้จากแหล่งอื่น ๆ ตามความจำเป็นและรสนิยม    แต่จะขอกล่าวถึงเฉพาะอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต  ส่วนยานั้น เป็นเรื่องทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ที่จะไม่นำมากล่าว  นอกจากขอกล่าวว่า  อาหารนั้น ความจริงเป็นยาที่ใช้ป้องกันและรักษาได้สารพัดโรค  ส่วนยานั้นเป็นเคมีสำเร็จรูปที่บางชนิดใช้เพียงเพื่อระงับอาการของโรคเท่านั้น   การบำบัดโรคด้วยอาหารเป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้ผลแท้จริงเสมอ การรับประทานอาหารที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ  การวิจัยทางการแพทย์และโภชนาการในปัจจุบัน พบว่าความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของโลกได้เปลี่ยนแปลงอาหาร ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งเคยเป็นประโยชน์สูงต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์  ไปเป็นอาหารที่เสื่อมคุณภาพลง   และยิ่งกว่านั้น ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้บริโภคหลงผิดหันไปนิยมอาหารที่ด้อยคุณค่า   รวมทั้งได้มีการโฆษณาให้ใช้อาหารเสริมที่มีราคาแพงและให้ผลไม่คุ้มราคา เพื่อมาชดเชยการบริโภคอาหารที่ด้อยคุณภาพ     ถ้าพิจารณาด้วยเหตุผล ว่า อาหารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ย่อมให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศเดียวกันดียิ่งกว่าอาหารที่มาจากแหล่งผลิตที่อยู่ในภูมิอากาศต่างออกไป โดยเฉพาะสำหรับชาวไทย   เป็นที่ยอมรับทั้งในทางวิชาการและในทางปฏิบัติ ว่า วิถีชีวิตในการรับประทานอาหารแบบไทย มีคุณประโยชน์สูงมากต่อสุขภาพร่างกายของคนไทย แต่คนไทยส่วนหนึ่งกลับหันไปบริโภคอาหารแบบตะวันตกประเภทที่เป็นอาหารไร้คุณค่า    ละเลยข้าวซ้อมมือที่อุดมด้วยประโยชน์ หันไปรับประทานข้าวขัดขาว ซึ่งเหลือแต่เศษแป้งที่ให้คุณค่าน้อยที่สุด 
  แม้แต่พืชผักผลไม้ที่ติดอันดับสุดยอด (Top Ten) ของโลกในฐานะที่เป็นพืชผักผลไม้ต่อต้านและป้องกันมะเร็ง  ซึ่งชาวโลกตื่นเต้นกันมากว่า ๑๒ ปีแล้ว ก็ปรากฏว่าหาได้ง่ายที่สุดในเมืองไทยไม่น้อยกว่า ๘ ชนิด   แต่ชาวไทยเองกลับไม่ได้ให้ความสนใจ  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่ทราบและมัวตกอยู่ภายใต้อำนาจกระแสการโฆษณาชวนเชื่อก็เป็นได้   จึงยังคงกินอาหารขยะแบบฝรั่งกันอย่างตั้งอกตั้งใจ  และหลงดื่มชาเขียวซึ่งโฆษณาว่าเป็นตำรับแท้ของญี่ปุ่น (ซึ่งไม่ใช่)  ทั้ง ๆ ที่ชาเขียวนั้นผลิตที่เชียงรายของเรานี่เอง และด้วยความไม่รู้จริงทำให้ต้องจ่ายค่าชาเขียวในราคาแพงมาก (เริ่มต้นขวดละ ๒๕  บาทแล้ว)  ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนแท้จริงไม่น่าจะเกิน ๓  บาท (ถ้าเราชงดื่มเอง-คุณภาพเท่ากัน)  ซึ่งเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากสำหรับสังคมไทยปัจจุบัน
  ชีวิตขาดอาหารไม่ได้  แต่อาหารในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก  เปลี่ยนไปเพราะระบบชีวิตตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการตลาด  ที่ชี้นำแนวนิยมในการรับประทานอาหารเพื่อรสนิยมตามสมัย  โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริงของอาหาร   จึงทำให้อาหารบางส่วนกลายเป็นเครื่องบ่อนทำลายสุขภาพไปโดยคาดไม่ถึง  ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักสมัยใหม่ในเรื่องอาหาร ในลักษณะที่ปฏิบัติได้ง่าย  เมื่อเข้าใจจริง  อาทิ ในเรื่องต่อไปนี้
เรากินอาหารทำไม 
มนุษย์ขาดอาหารไม่ได้  อาหารให้ทั้งพลังงานและสารเคมีที่ร่างกายนำไปใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบ
สำหรับทำนุบำรุงและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์    โดยธรรมชาติ  พืชสังเคราะห์พลังงานจากแสงอาทิตย์ แร่ธาตุต่าง ๆ และน้ำ ประกอบกันขึ้นเป็นอาหาร สร้างเป็นราก ต้น ดอก และผลของพืช     แต่สัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์ตามวิธีเช่นนั้นได้  หรือได้ก็น้อยมาก  (เช่น ผิวหนังมนุษย์สร้างไวตามิน D จากแสงแดดอ่อน ๆ หรือปลาค็อดเก็บเอาไวตามินดีจากแสงอาทิตย์เก็บสะสมไว้ในตัว แล้วมนุษย์ก็ไปเบียดเบียนสกัดเอาไวตามิน D มาจากตับของมันอีกต่อหนึ่ง)  สัตว์จึงแสวงประโยชน์ทางลัดด้วยการกินพืชเป็นอาหาร เพื่อสร้างเสริมทำนุบำรุงร่างกาย  แต่สัตว์บางชนิดใช้วิธีรวบลัดยิ่งกว่านั้น โดยการกินเนื้อสัตว์อื่น ที่กินพืชมาแล้วอีกต่อหนึ่ง  กลายเป็นห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ  แต่มนุษย์กินทั้งพืชและสัตว์   การกินในลักษณะนี้เป็นการรับสารอาหารหลากหลายเข้าสู่ร่างกายเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่สมบูรณ์   เพราะวิจัยพบว่ากรดอะมิโนที่จำเป็นบางตัวที่ร่างกายมนุษย์ต้องการไม่มีอยู่ในพืช  ต้องได้จากเนื้อสัตว์ด้วย  จึงจะครบถ้วน
  ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ยังกินอาหารเพื่อสุนทรียภาพ  มีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส  และจะสังเกตได้ว่า มนุษย์ใช้กิจกรรมการกินอาหารในเกือบทุกโอกาสที่มีการชุมนุม รื่นเริงสนุกสนาน  และแม้แต่งานพิธีการที่สำคัญ ก็จะต้องมีการเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นเกียรติด้วย  ซึ่งถือได้ว่าเป็นการกินเพื่อสังคม
อาหารที่เหมาะสำหรับมนุษย์
 ได้มีการพยายามพิสูจน์กันว่า มนุษย์จัดอยู่ในประเภทสัตว์กินพืช  โดยอ้างหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งอ้างว่า มนุษย์ไม่มีเขี้ยว  ซึ่งไม่น่าจะจริง  เพราะมนุษย์มีเขี้ยว ซึ่งยังพอสังเกตเห็นได้ชัดเจน  โดยเฉพาะเขี้ยวเสน่ห์ของหลายคนเป็นที่น่าประทับใจ   แต่เขี้ยวของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง  แต่ยังมีเขี้ยวเหลือให้เห็นกันอยู่ทุกคน ก็คงจะเหมือนกระดูกก้นกบ ที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นเป็นหลักฐานแสดงว่ามนุษย์เคยมีหางนั่นแหละ   พอไม่ใช้ มันก็หดหายไป  เหลือเป็นสัญลักษณ์อยู่เพียงนิดเดียว ฉะนั้น อาหารของมนุษย์ก็น่าจะเป็นทั้งพืชและเสื้อสัตว์   แต่หนักทางผักเข้าไว้น่าจะดีกว่า  เพราะเมื่อเขี้ยวของเราเล็กและสั้นลง ก็แสดงว่าวิถีชีวิตของมนุษย์นี้กินเนื้อสัตว์น้อยลง  แต่ก็ยังจะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่ต่อไปด้วย  เพราะกรดอะมิโนหลายตัวที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ไม่มีในพืช  แต่มีในเนื้อสัตว์  ที่เป็นปัญหาก็คือ  มนุษย์เราเริ่มกินเนื้อสัตว์และไขมันตามใจปากตามใจลิ้นมากเกิน เพียงเพื่อสุนทรียภาพในการกิน  จนเกิดปัญหาต่อสุขภาพ   ในปัจจุบันจึงต้องมาทบทวนระบบการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่แท้จริงกันใหม่ 
อาหารที่เหมาะแก่วัย
  เมื่อล้อมวงรับประทานอาหารในบ้าน  ทุกคนกินอาหารอย่างเดียวกัน   แต่อาหารบางอย่างอาจเหมาะสำหรับเด็กแต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่   และอาหารบางอย่างที่ผู้ใหญ่ชอบ แต่เด็กไม่ยอมกินเลยก็มี  เช่น นมจำเป็นสำหรับเด็ก  แต่พอเด็กอายุล่วงวัยหนึ่งแทนที่จะดื่มนมมารดาก็เปลี่ยนไปดื่มนมวัวหรือนมแพะแทน   แต่ขณะนี้กำลังเป็นที่วิพากษ์กันว่า นมไม่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่แล้ว  ทั้งยังเป็นต้นเหตุของโรคภัยหลายชนิดสำหรับผู้ใหญ่ด้วย  (มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ยังดื่มนมหลังจากหย่านมตามธรรมชาติของชีวิตแล้ว  แต่ผักชนิดต่าง ๆ เหมาะสำหรับทุกวัย  เพียงแต่ว่า เด็กยุคใหม่ไม่ยอมรับผักพื้นบ้าน ไม่ว่าจะมีคุณประโยชน์เพียงใด   ทั้งนี้เพราะกระแสนิยมและคำโฆษณาชวนเชื่อ  ที่ชี้นำไปในทางการค้า  และกระแสนิยมฝรั่ง  ซึ่งได้มีการค้นคว้าศึกษาและมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างจริงจัง มากกว่าของไทยเราเอง

อาหาร  ๕  หมู่ ตามที่เราได้เรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  ว่า อาหารมี  ๕  หมู่   เดี๋ยวนี้ก็ยังมี  ๕  หมู่   แต่ว่าอาหาร  ๕  หมู่ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว
 อาหาร  ๕  หมู่เดิม   อาหาร  ๕  หมู่ใหม่ 
 ๑.   โปรทีน    ๑.   โปรทีน (เหมือนเดิม)
 ๒.   คาร์โบไฮเดรต   ๒.   คาร์โบไฮเดรต   (เหมือนเดิม)
 ๓.   ไขมัน    ๓.   ไขมัน          (เหมือนเดิม)
 ๔.   ไวตามิน    ๔.   ไวตามินและเกลือแร่ (รวม ๔ กับ  ๕  เดิม)
 ๕.   เกลือแร่                                                 ๕.   กากใย  (Fibre)
 เดิมเห็นว่ากากใยจากพืชผักเป็นอาหารที่หยาบกระด้าง ไม่ถือเป็นอาหารคุณภาพสูงที่จะต้อง มีลักษณะประณีตละเอียดอ่อน  เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือถือว่าหยาบกระด้าง  ไม่น่ารับประทานเท่าข้าวขาว ที่ขัดสีจนปราศจากรำและจมูกข้าว  แต่ปรากฏว่าคุณประโยชน์ที่ได้กลับตรงกันข้าม
 อาหารจำพวกกากใย กลับกลายเป็นหมู่อาหารที่มีคุณค่าสูงยิ่ง  อาหารจำพวกกากใยแบ่งออกเป็น  ๒ จำพวก  คือ  กากใยจำพวกละลายน้ำได้  กับ กากใยจำพวกละลายน้ำไม่ได้  ทั้งสองชนิดนี้มีคุณประโยชน์ปานกัน    ปกติระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ย่อยกากใยของอาหารไม่ได้  แต่เมื่อกากอาหารเคลื่อนถึงลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยกากใยอาหารเหล่านี้ได้  ซึ่งจะมีผลดีหลายอย่าง เช่น  ลดโคเลสเตอรอล  และลดน้ำตาล (ซึ่งเป็นคุณสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน)  และกากใยส่วนที่เหลือจากการย่อยแล้วยังทำให้กากอาหารมีความอ่อนนุ่มและชุ่มน้ำทำให้ไม่เกิดอาการท้องผูกด้วย
 หมู่ของอาหารในการรับประทานยังมีการจำแนกต่างออกไปจากอาหาร ๕ หมู่ ที่กล่าวข้างต้นโดยแบ่งออกเป็นหมู่ตามประเภท  ดังภาพในปีระมิดปรากฏในหน้าถัดไป
  หมู่ที่  ๑    หมู่โปรทีน  หมายรวมถึง  เนื้อสัตว์  ไข่  ถั่ว  นม  ไวตามินและเกลือแร่ 
 หมู่ที่  ๒   หมู่แป้งและน้ำตาล  ได้แก่อาหารจำพวกแป้ง-น้ำตาล ที่เป็นพวก คาร์โบไฮเดรต
 หมู่ที่  ๓   หมู่ผัก  ได้แก่พืชผักที่กินต้น ดอก ใบ ซึ่งอุดมด้วยไวตามิน  เกลือแร่ และกากใย
              หมู่ที่  ๔  หมู่ผลไม้  ได้แก่ผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งอุดมด้วย ไวตามิน เกลือแร่และกากใย
 หมู่ที่  ๕   ไขมันจากสัตว์และพืช  อาหารหมู่นี้ให้พลังงานสูง  ทั้งยังเป็นที่รองรับไวตามิน
                                            บางชนิดที่ละลายเฉพาะในไขมันเท่านั้น  เช่น  ไวตามิน  A, D,  E และ  K 

 เรามักจะได้ยินคำแนะนำผ่านสื่อมวลขนอยู่เสมอ ให้รับประทานอาหารให้ครบ  ๕  หมู่  แต่ไม่ใคร่จะได้ยินว่ามีสัดส่วนตามสมควรอย่างไร   บางคนรับประทานครบ ๕ หมู่  แบ่งสัดส่วนทุกหมู่เท่ากันหมด  ผลก็คือผู้นั้นกลายเป็นหมูไปเท่านั้นเอง 
อาหารที่เหมาะแก่ความเป็นอยู่ในแต่ละภูมิอากาศ
 การรับประทานอาหาร โดยเฉพาะพืชผักและผลไม้ ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลในภูมิอากาศของผู้บริโภคย่อมจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คนไทยกินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม เป็นที่รู้กันมาแต่โบราณ
 การค้นพบทางวิชาการใหม่ ๆ  ในเรื่องอาหาร
  การค้นพบทางวิชาการใหม่ ๆ  ในปัจจุบัน  เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  เพราะบางสิ่งกลับกลายเป็นตรงข้ามกับความเชื่อทางวิชาการที่มีอยู่แต่เดิม  เช่น
  -    นมวัวเคยเป็นอาหารเสริมที่สำคัญ   ขณะนี้กำลังมีแนวความเชื่อ ว่า นมไม่เหมาะสำหรับ
                                 ผู้ใหญ่  เพราะก่อให้เกิดโรคภัยบางประการ  ทั้งได้มีการวิจัยพบว่าทารกที่ไม่ได้ดื่มนม
                                 มารดาในช่วง  ๓  เดือนแรก และดื่มน้ำนมวัวแทน   ทารกนั้นจะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
                                 ประเภทที่สอง  เมื่ออายุมากขึ้น
  -    ไข่เคยเป็นอาหารที่ต้องจำกัดมาก   เนื่องจากเป็นตัวเพิ่มปัญหาโคเลสเตอรอล   บัดนี้ 
                                 แนวทางปฏิบัติได้เปลี่ยนไปแล้ว
-     ไขมันกับโคเลสเตอรอล  ได้มีการวิจัยพบว่า เมื่อทานอาหารที่มีไขมันเพียง ๑๙ %
      ของพลังงาน ทำให้ HDL (ตัวที่มีคุณเพียงอย่างเดียว-ไม่มีโทษ)  ลดลง   แต่เมื่อทาน
      อาหารที่เพิ่มไขมันขึ้นเป็น  ๕๐ %  กลับพบว่า  HDL  เพิ่มขึ้น  จึงได้เกิดแนวทาง
    ปฏิบัติในการรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยไขมัน  ๓๐ %  เป็นมาตรฐานขึ้นมา
   -    การรับประทานแครอท เพื่อให้ได้เบตา แคโรทีน  แต่เดิมต้องกินดิบ คั้นสด แยกกาก
                                  แยกน้ำ แต่ในปัจจุบัน ถ้าต้องการได้เบตา แคโรทีนมาก ๆ ต้องทานที่สุกผ่านความร้อน
    -    แต่เดิมห้ามคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงดื่มกาแฟ    ปัจจุบันเชื่อได้ว่า กาแฟไม่มีผล
                                   ต่อโรคความดันโลหิตสูงเลย
  -    อาหารจำพวกแป้ง ที่ทอดด้วยน้ำมัน หรือที่อบในไขมัน ที่อุณหภูมิสูง  เช่น ปาท่องโก๋ 
        กล้วยแขก กำลังเป็นที่น่าหวาดกลัว เนื่องจากก่อให้เกิดสาร อะครีลาไมด์  (สารผสมใน
        พลาสติคโพลีเมอร์) ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารก่อมะเร็งที่น่าระวังเพิ่มขึ้น
 
รู้จักอาหารจำพวกกรดไขมันเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง
  กรดไขมันในอาหารแบ่งออกเป็น  ๒  ชนิด  คือ
๑. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid)  ได้จากไขมันสัตว์  เช่น นม ครีม  เนยสดและไขมันจากสัตว์   แต่ไขมันจากปลาทะเลให้ประโยชน์ต่างจากไขมันจากสัตว์บกมาก
๒. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acdid) ได้จากพืช  กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้ยังแยกออกเป็น  ๒  ประเภท  คือ
(๑)    กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว  (Monounsaturated Fatty Acid) พวกนี้ ส่วน
          ใหญ่ได้จากน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก  น้ำมันถั่วลิสง   น้ำมันถั่วเหลือง มี
          ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ  ช่วยบรรเทาโรคหัวใจได้ดี
 (๒)   กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid)  พวกนี้มี
           ประโยชน์ต่อสุขภาพรองลงมาจากพวกแรก  แต่อาจมีอันตรายได้หากได้รับ
           มากเกิน  พบในน้ำมันข้าวโพด  น้ำมันดอกทานตะวัน 
  เรามักจะได้กรดไขมันเหล่านี้หลากหลายปะปนกันจากอาหารทั่วไป  ต้องเลือกสรรตามควรแต่การเลือกก็ต้องรู้สาระพื้นฐานของไขมันนั้น   หลายคนไม่รู้เลยว่า ไขมันจากพืชไม่มีคอเลสเตอโรล และหลายคนไม่รู้เลยว่า กะทิหรือน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวถึง ๓ เท่าของน้ำมันหมู  และน้ำมันพืชจากปาล์มน้ำมัน มีกรดไขมันอื่มตัวถึง  ๒ เท่าของน้ำมันหมู   มองในแง่หนึ่ง ร้ายกว่าน้ำมันหมูเสียอีก ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีคอเลสเตอโรล    ลองพิจารณาตารางต่อไปนี้
     กรดไขมันจาก

      กรดไขมันอิ่มตัว      
     กรดไขมันไม่อิ่มตัว   
             เชิงเดี่ยว               
     กรดไขมันไม่อิ่มตัว
            เชิงซ้อน
น้ำมันมะพร้าว              ๘๙  %                 ๖  %               ๒  % 
น้ำมันหมู                                         ๓๙   %              ๔๕   %              ๑๑  %
น้ำมันถั่วลิสง              ๑๗   %              ๔๗   %              ๕๙  %
น้ำมันถั่วเหลือง              ๑๕  %               ๒๔  %              ๕๙  %
น้ำมันมะกอก              ๑๔  %               ๗๖  %                ๙  %
น้ำมันข้าวโพด              ๑๓  %               ๒๕  %              ๕๙  %
น้ำมันดอกทานตะวัน              ๑๑  %               ๒๐   %              ๖๗  %
เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างน้ำมันที่เราใช้มาก  พบว่า น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวมากที่สุด
มากกว่าน้ำมันหมูตั้งแยะ  และน้ำมันหมูให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงไล่ ๆ กับน้ำมันถั่วลิสง ส่วนน้ำมันมะกอกนั้นแม้จะดีเพียงใด  แต่เราผลิตไม่ได้เอง  จึงแพงมาก   จะเลือกใช้น้ำมันอะไรก็พิจารณาดูความสมควรเอาเอง   แต่ก็มีรายงานว่า ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา วิจัยพบว่า น้ำมันมะพร้าวจะถูกตับผันไปเป็นพลังงานได้เร็วมาก(เพียงชั่วโมงเดียว)   ถ้าใครใช้พลังงานนั้นหมดได้  ก็ไม่สะสมไขมันเป็นความอ้วน 
อาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาไทยที่เข้าใจในอาหารจากธรรมชาติ
  คนไทยรู้จักการกินอาหารที่ได้ในจากธรรมชาติในพื้นที่ตามฤดูกาล  และรู้จักปรับการกินอาหารที่ได้จากธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ตลอดมา
  -    คนไทยกินข้าว กินปลา   ขณะนี้โลกยอมรับแล้วว่า ปลาเป็นอาหารโปรทีนที่ดีที่สุด
                           -    คนไทยทางเหนือกินเมี่ยง  คือใบชา   มาแต่โบราณ    แม้แหล่งกำเนิดของใบชาใน
                                ประเทศจีน ก็อยู่ในพื้นที่ ที่คนไทยอยู่ทั้งสิ้น  (คนจีนเรียกใบชาว่ามิ่ง = เมี่ยง ของไทย)
-   ข้าวหลาม เกิดจากธรรมชาติตามฤดูกาล  หน้าหนาวต้องผิงไฟ  พอดีกับ ข้าวใหม่  ไม้ไผ่ 
     เยื่อกำลังดี  จึงเกิดการเผาข้าวหลามขณะผิงไฟ  ได้ทั้งความอบอุ่นและอาหารอีก ๑ มื้อ 
-    แหนมไม่เน่าเสีย ก็เพราะคนไทยรู้จักใช้กระเทียมในการฆ่าเชื้อ (กระเทียมมีสารอัลลิซีน)
  -    ตั๊กแตนปาทังก้าเป็นปัญหาใหญ่ในโลก  แต่เมื่อมาถึงเมืองไทย กลายเป็นอาหารของคน
                                 ไทย ที่อุดมด้วยโปรทีนไปแล้ว
  -    คนไทยกินพริกเก่ง  ทั้ง ๆ  ที่ฝรั่งเป็นคนนำพริกเข้ามา  (อย่าเพิ่งเชื่อนัก เพราะมีการค้น
                                 พบว่าทางแถบตะวันออกนี้มีพริกอยู่ก่อนแล้ว  ฝรั่งเรียกกันว่าพริกอัฟริกัน ไม่เรียกว่า                            
     พริกเอเชีย เพราะฝรั่งรู้จักอัฟริกาในฐานะดินแดนทางตะวันออก ก่อนที่จะรู้จักอย่างแท้
                                 จริงว่าเอเชียอยู่ที่ไหน)   แล้วเราก็พบว่า สารแคปไซซีนในพริกมีประโยชน์  ขยายผนัง
                                 หลอดโลหิต  ทำให้ยืดหยุ่น เส้นโลหิตในสมองไม่แตกง่าย ทั้งยังทำให้ผู้กินพริกได้รับ
                                 ฮอร์โมน Endorphine  - สารแห่งความสุขด้วย   ถ้าใครนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ  ลองทาน
                                 อาหารเผ็ด ๆ  ดูบ้าง จะทำให้นอนได้หลับสนิทดีนัก
  -     คนไทย เมื่อทานผักต้มจิ้มน้ำพริก ทำไมจึงต้องมีหัวกะทิหยอดลงบนผักต้มนั้นด้วย  เรา
                                  เพิ่งมารู้กันภายหลังว่า ไวตามินเอ ที่ผันจากเบต้า แคโรทีนในผักนั้น ต้องละลายใน
                                  ไขมัน  เราจึงหยอดกะทิเพื่อให้ได้ไขมัน  คนไทยในยุคก่อนไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน 
                                  ถ้าไม่ได้สังเกตเอาเองจากธรรมชาติ
พืชผักผลไม้  ๑๐  ชนิด  ที่มีคุณสมบัติสุดยอดในการป้องกันและต่อต้านมะเร็ง 
 เมื่อ ๑๒  ปีมาแล้วโลกวิจัยพบว่าพืชผักผลไม้ในโลกที่กินได้มีอยู่ประมาณกว่า ๑๓,๐๐๐ ชนิด แต่ที่ติดอันดับสุดยอด  ๑๐  อันดับ  (Top Ten)  ในฐานะพืชผักและผลไม้ที่ต่อต้านและป้องกันมะเร็งนั้น หาได้ง่ายที่สุดในประเทศไทยไม่น้อยกว่า  ๘  ชนิด    ทั้ง  ๑๐  อันดับมีดังนี้
 ๑.    สตรอเบอรี่   ในบ้านเราผลิตได้ในฤดูหนาว  ไม่ด้อยกว่าในยุโรปที่ผลิตได้ในฤดูร้อน
 ๒.  มะเขือเทศ  แหล่งกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง  มีสารไลโคพีน  ซึ่งเพิ่งค้นพบและประกาศเผยแพร่
                     ให้บริโภคแพร่หลายเพิ่มขึ้นเมื่อ ปี ๒๕๔๒ นี้เอง  ไลโคพีนมีสรรพคุณควบคุมต่อมลูกหมาก
                     ได้ดีที่สุด  และสารนี้ยังป้องกันโรคหัวใจได้ดีด้วย   ปรุงผ่านความร้อนจะได้ไลโคพีนเพิ่มขึ้น   
                     (แต่เพิ่งมีการวิจัยพบว่า ไลโคพีนและเบต้า แคโรทีน เป็นต้นเหตุของมะเร็งด้วย   ผู้เรียบเรียง
                     ยังฟังหูไว้หู  เพราะได้ทานมานานมากแล้ว ยังได้ผลดีอยู่   และก็มีการพบว่า การทานอะไร
                     อย่างใดอย่างเดียวมาก ๆ  รวมทั้งเบต้าแคโรทีนที่สะกัดเป็นเม็ด ก็ก่อมะเร็วได้เหมือนกัน)
๓.   ส้มทุกชนิด  (ยกเว้นส้มแขก)   คุณผู้หญิงควรรับประทานมาก ๆ เข้าไว้  เพราะเป็นแหล่งที่จะ
        ได้รับ Collagen  สูง  (โปรทีนคอลลาเจน ทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังยืดหยุ่น ไม่แข็งกระด้าง  
        ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวหนังไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น)  ไวตามีน C เป็นตัวสร้างคอลลาเจนที่วิเศษสุด  
        ทานส้มทั้งกากทั้งใย ดีกว่าดื่มเป็นน้ำคั้น (ความจริงมะขามป้อมและฝรั่ง ผลไม้ไทย ๆ ให้
        ไวตามิน C สูงกว่าส้ม เสียอีก  หมั่นทานเข้าไว้  ผิวจะเปล่งปลั่งไปอีกนาน ไม่เหี่ยวไปตามอายุ)
 ๔.    กระเทียม   สาร Allicin มีประโยชน์มากมาย  ทั้งเพื่อลดโคเลสเตอรอล  ลดความดันโลหิต
                      และฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ด้วย  แต่ถ้ากระเทียมสุกผ่านความร้อนเมื่อไร  สาร Allicin จะเสีย
                      ความสามารถในการฆ่าเชื้อโรค   แต่คุณสมบัติด้านอื่น ๆ ยังคงมีอยู่    ดีที่สุดควรจะเป็น
               กระเทียมสด   ยิ่งกว่านั้น ยังได้พบสารอาโฆอีน (Ajoene)  ในกระเทียม  ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่า
          เชื้อโรคเหนือกว่ายาปฏิชีวนะบางตัวเสียอีก   รัสเซียเคยใช้มาแล้ว  จนเรียกกระเทียมกันว่า 
          รัสเชียน เพนนิสซิลิน            
                                     ตรงนี้ขอถือโอกาสเพิ่ม หัวหอม  แถมไว้ด้วยสักนิดหนึ่ง  เพราะจะได้ประโยชน์มาก
                     ในหัวหอมมีสารพิเศษ ชื่อ ไซโคล อัลลิอิน (Cyclo Alliin)  คุณสมบัติไม่ด้อยกว่ากระเทียม 
                     กระเทียมมีสารอัลลิอิน  ซึ่งเมื่อถูกบด หั่น ตัด สับ เคี้ยว อัลลิอินจะถูกเอนไซม์ในตัวของมันเอง
                     เปลี่ยนไปเป็นสารอัลลิซิน   เจ้าสารอัลลิซินนี้ ถ้าถูกความร้อนแล้วจะเสื่อมความสามารถใน
                     การฆ่าเชื้อโรค  แต่สรรพคุณอื่น ๆ  ยังอยู่   ส่วน ไซโคล อัลลิอิน ในหัวหอมนั้น แม้ผ่านความ
                     ร้อนในการปรุงอาหารก็ไม่เสื่อม   ป้องกันมะเร็ง และป้องกันโรคหัวใจ ได้ดีด้วย   
 ๕.   ใบชา  น้ำชา   ชาวไทยรู้จักใช้ชามาแต่โบราณ ดังกล่าวมาแล้ว  ในชามี แทนนิน  (Tannin) มี
                     กรดกาโยแทนนิค (Gallotannic acid)   ไม่ว่าชาดำ  ชาแดง  ชาทอง(ชาขาว) หรือชาเขียว มี
        ประโยชน์ปานกัน แต่ชาเขียวมีสารเอปิกาโย กาเตชิน กายาเต (Epigallo-catechin-gallate)
        มากกว่าชปาดำหรือชาแดง  เพราะไม่ได้หมักก่อนนำมาคั่วด้วยไฟอ่อน   แต่ชาฝรั่งมีประโยชน์
        ด้อยกว่านั้นอีก  เพราะหมักนานเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมมากขึ้น คนไทยกำลังตื่นชาเขียว  เพราะ
        ความไม่เข้าใจ  ชาเขียวตำรับแท้จริงของญี่ปุ่นนั้น มันไม่ใช่อย่างที่โฆษณาขายกันอยู่ในบ้านเรา
                   ในขณะนี้    ชาเขียวญี่ปุ่นที่ดื่มกันเป็นประเพณีนั้นเขาขจัดก้านใยในใบชาออกจนหมดแล้วนำ
                      เอาเนื้อใบชามาบดเป็นผง  แล้วนำผงชามาละลายน้ำร้อนเมื่อจะดื่ม  ไม่ได้ชงเหมือนชาที่เราดื่ม
                      ถ้าใครดื่มชาเขียวแบบญี่ปุ่นที่ว่านี้ในขณะที่ท้องว่างอาจเกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
                      เห็นได้ว่าเป็นชาคนละอย่างกับที่โฆษณาขายกันอยู่เกรียวกราวในตอนนี้     ที่จริงแล้ว ชาเขียว
                      ญี่ปุ่น ที่เรากำลังหลงตามกระแสกันอยู่ในขณะนี้  ก็คือ ชาอย่างเดียวกับชาเขียวของจีน    ที่
                      ชาเขียวแตกต่างจากชาดำ   ก็เพราะกระบวนการผลิตดังกล่าวแล้วเท่านั้น (ชาเขียวผึ่งให้แห้ง
         แล้วนึ่ง โดยไม่หมัก   ชาดำหมักให้เกิด Oxidation เพื่อให้ได้กลิ่นหอมเสียก่อนแล้วจึงคั่ว 
                       ส่วนชาฝรั่งนั้นหมักนานกว่า ได้กลิ่นหอมเพิ่มขึ้นก็จริง  แต่สรรพคุณลดลงมาก)   ที่ชาเขียว
                จากญี่ปุ่นแพงถีง กก.ละ ๒,๐๐๐บาท ในขณะที่ชาเขียวชนิดเดียวกันและคุณภาพ เท่ากันจาก
                       ประเทศอื่นราคาประมาณ กก. ละ ๔๐๐ บาทเท่านั้น   เพราะค่าแรงงานในการเก็บใบชาต่างกัน
                       จีนผลิตชาเขียวมากที่สุดในโลก   ส่วนชาเขียวที่ขายดีในเมืองไทยนั้น ทั้งปลูกและผลิตที่จังหวัด
               เชียงรายนี้เอง  แต่ไม่มีใครกล่าวถึง    เพราะคนไทยดูถูกผลผลิตของตนเอง   
 ๖.      ข้าวสาลี  แป้งสาลีที่ไม่ได้ขัดสี  เราผลิตข้าวสาลีไม่ได้   ถ้าใช้ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทน
          ก็จะได้ผลใกล้เคียงกัน
 ๗.      แครอท ปลายหนาวทานได้ เพราะเราผลิตเอง  ถ้าในฤดูร้อน ฤดูฝน หรือต้นหนาว ต้องนำเข้า
                        ควรทานอย่างประหยัด (ทานดิบได้ เบต้า แคโรทีน  ๑  หน่วย  ถ้าสุกผ่านความร้อนจะได้
          เบต้า แคโรทีนเพิ่มขึ้นเป็น ๕ -  ๘ เท่า)  จะได้ไม่สูญเสียเงินตรา  หรือจะทาน มะละกอสุก 
          ฟักทอง  มันเทศ  ผลไม้สีเหลืองแดง   และ  ผักเขียวหลายชนิด  แต่ถ้าเชื่อภูมิปัญญาไทย ลองพิจารณา
          -    แครอท  ๑  ขีด (๑๐๐ กรัม)  ได้เบต้า แคโรทีน  ๗,๐๐๐  ไมโครกรัม
                        -    ยอดแค  ที่ชาวบ้านต้มจิ้มน้ำพริก  ๑  ขีด เท่ากัน ได้เบต้า แคโรทีน  ๘,๖๐๐  ไมโครกรัม
                        -     กะเพรา ที่เราทานกันอยู่ทุกวัน  ๑  ขีด  ได้เบต้าแคโรทีน กว่า  ๗,๘๐๐  ไมโครกรัม
                        -     ยอดและดอกขี้เหล็กที่เราทานกันอยู่ทั่วไป ๑ ขีดได้เบต้า แคโรทีน ๗,๒๐๐ ไมโครกรัม
                        -     ใบชะพลู ๑ ขีด ให้เบตา แคโรทีน สูงกว่า  ๗,๐๐๐ ไมโคกรัม สูงกว่าแครอท เสียอีก
            -     ใบและเมล็ดของมะรุม  กำลังเป็นที่น่าสนใจควรศึกษา   ยังไม่ระบุไว้ชัดเจน ณ ที่นี้
               ๘.     ผักจำพวกกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก สีเขียวยิ่งเข้มยิ่งดี   บร็อคโคลีเป็นที่นิยมที่สุด  (เราควร
                        ทานบร็อคโคลี่ให้มากเข้าไว้  เพระให้สารโครเมี่ยม (Chromium) ซึ่งมีสรรพคุณใน
                        การบริหารน้ำตาลได้ดี เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมาก และยังมีเซเลเนี่ยม (Selenium)  
                        ซึ่งช่วยชะลอความแก่ได้วิเศษนัก)   แต่ถ้าต้องการเพียงแค่สาร เบต้า แคโรทีน  ก็ใช้คะน้า
                        แทนได้   ระวังสารพิษเอาหน่อยก็แล้วกัน  (คะน้ามีสารลูเทอีนมากกว่าผักโขมถึง  ๒  เท่า)
๙.    ผักโขม (Spinach)  ที่เจ้า ป๊อป อาย กินนั่นแหละ
๑๐.    ถั่วเมล็ดแข็งทั้งปวง   ถั่วเขียว  ถั่วดำ  ถั่วเหลือง  ถั่วแดง  ประโยชน์สูงสุดจะได้เมื่อเพาะให้
   รากงอกยาว  ๑  ซ.ม.  และไม่ควรรับประทานดิบ  เพราะมีสารพิษอยู่ในตัวของมันเอง 
ใครรังเกียจมะเร็งก็ต้องพยายามทานผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ เบต้า แคโรทีน และไวตามิน C 
มากเข้าไว้   เพราะเป็นตัว Antioxidant  ที่วิเศษสุด ขจัดอนุมูลอิสระได้เก่งนัก    อย่ากลัวว่าจะมากเกิน   และโปรดอย่าลืม ว่า ผักและผลไม้แบบไทย ๆ หรือของนอกแต่ไทยผลิตได้เองนั้นมีมากมาย  ดีกว่าของนอกด้วยซ้ำ  ทานของไทยผลิตเองแล้วไม่จนด้วย
  เบต้า แคโรทีน นั้น ทานมากเท่าไรก็ได้  ถ้าได้จากผักและผลไม้จะไม่มีพิษร้าย  เพราะในผักและผลไม้มี แคโรทีนอยด์ตัวอื่น ๆ  แร่ธาตุต่าง ๆ  ผสมผสานกันอยู่หลากหลาย  ก่อให้เกิดความสมดุลของแร่ธาตุทั้งหลายได้ในตัวเอง  เช่น ในแครอท มีสารที่เป็นแคโรทีนอยด์อยู่กว่า  ๕๐๐  ตัว ซึ่งมีคุณสมบัติเสริมกัน  ถ้าเป็น เบต้า แคโรทีน ที่สกัดมาล้วน ๆ  ต้องระวัง  เคยมีผลการวิจัยว่า  ถ้าทานเข้าไปโดด ๆ  นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งแล้ว  ยังจะเป็นตัวก่อมะเร็งเสียเองอีกด้วยซ้ำ  ทานจากธรรมชาติดีที่สุด
  ไวตามิน C  นั้น ยิ่งทานมากยิ่งดี  เพราะนอกจากจะเป็นตัวขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังจะช่วยสร้าง Collagen  โพรทีนสำคัญยิ่งที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น  มีการบันทึกไว้ว่า ดร. ลีนุส พอลลิง  นักวิทยาศาสตร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ถึง  ๒ ครั้ง ได้รับไวตามินซีมากถึงวันละ ๑๘,๐๐๐  มิลลิกรัม  เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง  ปรากฏว่าท่านสามารถยืดอายุต่อไปได้อีกถึง  ๒๐  ปี  สิ้นชีวิตเมื่ออายุ  ๙๓  ปี   ตัวท่านเองเป็นผู้แถลงว่า ท่านอยู่ได้เพราะไวตามิน C  -
การเพิ่มฮอร์โมนเพศชายและหญิง ด้วยอาหารหาง่ายของไทยเราเอง
 ทั้งชายและหญิง  หากอายุเฉียด  ๓๕  ปี  ฮอร์โมนเพศบางตัวจะลด  หญิงจะวูบวาบ และกระดูกพรุนเร็ว  เมื่อเข้าสู่ระยะวัยทอง (Menopause)   ชายก็มีวัยทอง เรียกว่า Andropause  หากใครเพิ่ม
ฮอรโมนเพศด้วยการรับประทานยาเคมี ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของแพทย์ตลอดเวลา  มิฉะนั้น อาจเสี่ยงต่อมะเร็งหรือความผิดปกติอื่น ๆ   แต่ถ้าเพิ่มโดยวิธีรับประทานอาหารตามธรรมชาติจะปลอดภัย
 ฮอร์โมนเพศบางตัว  ทำหน้าที่บงการให้ต่อมไร้ท่อทำหน้าที่เป็นปกติ  หน้าที่ของต่อมไร้ท่อ
ก็คือไปควบคุมให้อวัยวะทั้งปวงในร่างกายทำหน้าที่เป็นปกติ ไม่บกพร่อง  และยังสร้างเสริมทำนุบำรุงให้ต่อมไร้ท่อเหล่านั้นแข็งแรงสมบูรณ์    พอฮอร์โมนเพศลด  คำสั่งก็ล้า  ต่อมไร้ท่อก็เฉื่อยชา  รวนทั้งระบบ
ชาย  ควรเพิ่มอันโดรเจน (Androgen)  ด้วยการรับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำ   หญิง ถ้า
          อายุเกิน ๔๐ ปี ทานได้เป็นปกติ หญิงในวัยเจริญพันธุ์  ไม่ควรทานเมื่อตรงกับระยะรอบเดือน
       และหญิงอายุระหว่าง  ๑๓ -  ๒๐  ปี ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนมาก  เพราะจะมีหนวดมีเครา
          น้ำมะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวเผา ก็มีผลไม่แตกต่างกันมากนัก
หญิง  ควรเพิ่ม เอสโตรเจน (Estrogen)  ด้วยการรับประทานพริกไทยเพิ่มมากขึ้น   แม้หญิงที่มี
           เอสโตรเจนในร่างกายสูงจะเสี่ยงต่อมะเร็งของหญิง ก็ไม่ต้องกลัว  เพราะได้มีการค้นพบว่า
           หญิงจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งของหญิงได้  ถ้ารับประทานโปรทีนจากถั่วเหลือง คือ เต้าหู้
           เป็นประจำ  โพรทีนจากถั่วเหลือง คือ เต้าหู้ ให้ ไฟโต อูเอสโตรเจน  ซึ่งสามารถลดความ
           เสี่ยงต่อมะเร็งของหญิงได้ดีแต่อย่ารับประทานพริกไทยป่นในแคปซูล  เพราะเมื่อแคปซูล
           ละลาย  สาร แคปไซซีนในพริกไทยจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร 
อาหารที่ช่วยบรรเทาปัญหากระดูกพรุน   
             ดังได้กล่าวแล้วว่าเมื่อฮอร์โมน Estrogen ลด    หญิงจะเกิดปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับกระดูก
เพราะร่างกายของหญิงต้องการแคลเซียมสูง จึงไปเบียดเบียนจากกระดูก  ทำให้กระดูกพรุนและเปราะบาง หักง่าย  อันตราย   ฉะนั้น หญิงต้องเพิ่มแคลเซียมให้แก่ร่างกายมากเป็นพิเศษ  เพิ่มตั้งแต่เด็กได้ยิ่งดี เพราะเป็นการสะสมสร้างกระดูกให้เข้มแข็งไว้ เผื่อเมื่ออายุมากกระดูกถูกร่างกายส่วนอื่นแย่งแคลเซียมก็จะไม่เกิดผลรุนแรงนัก   ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งจะต้องเพิ่มแคลเซียมให้มากเป็นพิเศษ   หญิงที่อายุไม่เกิน  ๓๐ ปี  ควรได้รับแคลเซียม วันละไม่น้อยกว่า  ๑,๕๐๐  มก.  และถ้าอายุเกิน  ๓๕ ปี แล้ว ควรจะได้รับแคลเซียมมากเป็นพิเศษ ถึงวันละไม่น้อยกว่า ๒,๔๐๐ มก. ได้ก็จะยิ่งดี   แต่ส่วนใหญ่เรามักจะมีปัญหาเรื่องไม่รู้จริงและเชื่อคำโฆษณาเกินไป   เช่น
- หลายคนมุ่งมั่นเพิ่มแคลเซียมด้วยการตั้งหน้าตั้งตาดื่มนม ตามคำโฆษณา โดยไม่ได้
       คำนึงเลยว่า  นมสด  ๑ แก้ว ให้แคลเซียมเพียง  ๑๒๐  มก.   ถ้าอายุเกิน ๓๕  ปีแล้ว
       ใครจะดื่มนมเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้แคลเซียมครบตามที่ร่างกายต้องการ ต้องดื่มนม
       สดวันละ  ๒๐ แก้ว  มีใครเคยดื่มได้มากขนาดนี้หรือ  ลองรับประทานอาหารอื่นแบบ
          -  ๑๖  -
       ไทย ๆ บ้าง เช่น กุ้งแห้งตัวเล็กที่ไม่ได้ปอกเปลือก (ดูสีเสียหน่อย ถ้าสีแดงจัด ๆ  เว้น
       เสียได้จะปลอดภัย)   เยื่อเคยจากกะปิ  ปลาเล็กปลาน้อย  งาป่นก็ได้แยะ  พืชผักอีก
       หลายชนิดก็ให้แคลเซียมสูง
- ได้แคลเซียมแล้ว  ถ้าไม่มีไวตามิน ดี  ก็ไม่สร้างกระดูก  จะรอรับเพียงจากแสงแดด
       อ่อนก็คงจะไม่พอ  เพราะมักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับแสงแดดอ่อน  อาศัยจากน้ำมัน
       ตับปลาจะดีกว่า    แถมน้ำมันตับปลายังจะช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบได้ดีด้วย
       (ผลการวิจัยเรื่องนี้เพิ่งออกมาเมื่อไม่นานนี้  มีแคลเซียมแล้ว ถ้าได้แมกนีเซียมเสริม
       ด้วยก็จะดียิ่งขึ้น   แม้กระนั้น ถ้าขาดธาตุโบรอนแล้วจะไม่สร้างกระดูกเลย (สำหรับผู้ที่
       อายุเกิน  ๓๕ ปี)    อย่าลืมเพิ่มโบรอน   คนยุโรปจะทานแอปเปิล  องุ่น   แต่เราคนไทย
      ทาน ถั่วฝักยาว  ถั่วพู  ถั่วเหลือง  ถั่วลิสง และน้ำผึ้งได้จะดี  แต่ถั่วฝักยาว (หรือผักสดอื่น
      ด้วย)     จะทานสด ก็ขอให้นึกถึงฟอร์มาลินไว้บ้าง  ถ้าไม่วางใจ ก็อย่าทานสด    ต้อง
      นึ่งหรือลวก   ร้อนถึง ๔๐  องศาเซลเซียส เมื่อไร  ฟอร์มาลิน จะระเหิดหมด ไม่ตกค้าง
      เป็นพิษ
ความดันโลหิตสูง
 ความดันโลหิตสูงเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายหลายอย่าง   พึงระวังไว้เสมอว่า ธาตุโซเดียม เป็น
ต้นเหตุสำคัญที่สุด   สุดยอดก็คือ โซเดียมคลอไรด์ เกลือธรรมดา ๆ ของเรานี่แหละ   ฝึกทานอาหารจืด ๆ  ไว้
จะได้ผลดี  ถ้ายั้งไม่ได้  ก็ลองทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ๆ ไว้บ้าง จะช่วยได้  ของหาง่ายในบ้านเรา เช่น มันเทศ  หอยลาย  ลูกเกด  โยเกิร์ต  กล้วยหอม  น้ำส้มคั้น  ฯลฯ   ก็ช่วยได้  ทานอาหารเหล่านี้มาก ๆ  ไม่มีทางที่จะมีโปแตสเซียมเกินจนเป็นอันตราย ถ้าได้แมกนีเซียมหนุนด้วยก็ยิ่งดี โปแตสเซียมจะช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่ายกายได้
ไมเกรน-อาการปวดศีรษะข้างเดียว
 ใครเคยปวดศีรษะข้างเดียว ที่เรียกว่า ไมเกรน  จะรู้ดีว่าทรมานแค่ไหน  วิธีบรรเทาอาการโดยใช้ผ้าบาง ๆ หุ้มก้อนน้ำแข็งลูบที่ลำคอด้านหน้าข้างที่ปวดศีรษะ เพื่อลดการขยายตัวของหลอดโลหิตที่ส่งไปถึงศีรษะด้านที่ปวด อาจลดอาการปวดลงได้บ้าง แต่ถ้าจะใช้อาหารเป็นยา  ก็ควรรับประทานอาหารต่อไปนี้
๑.   ขิง ไม่ว่าจะทานสด  สุกผ่านความร้อน  หรือทำเป็นน้ำขิง  ในขนาดพอสมควร (ขิงผง   
         ประมาณครึ่งช้อนชา) ทานตั้งแต่เริ่มมีอาการ  จะช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้ดี 
         เพราะไปสกัดกั้นสารพรอสต้าแกลนดิน ที่ทำให้หลอดเลือดในสมองอักเสบ  ขิงยัง
         ไปยับยั้งการทำงานของ “ศูนย์อาเจียน”  ในสมองได้อีกด้วย  ซึ่งคุณสมบัตินี้ทำให้   
         ขิงเป็นยาแก้เมารถเมาเรือได้ชะงัดนัก   แถมยังมีคุณประโยชน์อีกหลายประการ  เช่น  
         ทำให้กรดในระบบการย่อยมีฤทธิ์เป็นกลาง  และทำให้โลหิตเจือจางไม่อุดตันหลอด
         โลหิตเป็นต้น
  ๒.    ไวน์  มีการวิจัยพบว่า  หากมีอาการปวดไมเกรนไม่รุนแรงนัก ถ้าได้ดื่มไวน์แดงสัก  
                                     ๑  แก้ว  ช่วยระงับอาการไมเกรนได้ระดับหนึ่ง    แต่บางคนกลับเป็นตรงข้าม พอ
                                      เปลี่ยนไปดื่มไวน์ขาว กลับไม่ปวดไมเกรน   ขอให้ถือเป็นยาอันดับสุดท้าย  แล้วก็
                                      อย่าอ้างว่าปวดไมเกรนถี่ขึ้น  จนเขาจับได้ก็แล้วกัน 
ชะลอความแก่ -  แก้อาการเหี่ยว 
 ต้องการชะลอความแก่ อย่ารังเกียจ โคเลสเตอรอล แต่ต้องสร้างสมดุลเป็น  โคเลสเตอรอลมีตั้ง  ๕  ตัว   เล็งไปที่  HDL  ตัวนี้มีคุณอย่างเดียวไม่มีโทษเลย  เพิ่มให้มากเข้าไว้  ใครมี  ๓๕ หน่วย  ถือว่าดีถ้ามีถึง  ๔๕  หน่วยถือว่าดีมาก  ถ้ามีมากขึ้นไปกว่านี้ก็จะยิ่งดีมาก ๆ    แต่  LDL  ที่เป็นตัวร้าย   เป็นตัวที่เกาะผนังหลอดโลหิต    ให้มีได้ในระหว่าง  ๗๐  -   ๑๓๙   หน่วย  มากกว่านี้อันตราย   และเมื่อรวมกันแล้ว ไม่ควรให้โคเลสเตอรอลทุกตัวรวมกันเกิน   ๒๐๐ หน่วย   คุมอาหารไขมันจากเนื้อสัตว์ให้ได้  โดยคำนึงถึงไขมันจากพืช  ซึ่งแม้จะไม่มีโคเลสเตอรอลก็ตาม แต่ไตรกรีเซอไรด์  ก็มีผลต่อร่างกาย   อย่างน้อยถ้ามากเกิน ก็ทำให้อ้วน
 ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปก็คือ  แม้ไม่ได้ทานไขมันใด ๆ เลย  ตับก็ยังจะต้องสร้างโคเลสเตอรอลอยู่ดี  เพราะร่างกายขาดไม่ได้   มิฉะนั้น จะไม่มีฮอร์โมนเพศ   จะโง่  (เกือบ ๑/๓ ของมันสมองประกอบด้วยโคเลสเตอรอล)   และจะเหี่ยว  ยิ่งกว่านั้น  ถ้าร่างกายผลิตโคเลสเตอรอลเมื่อไร ก็จะผลิตไวตามิน Q  ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง   เพราะไวตามิน Q  มีส่วนสำคัญยิ่งในการชะลอความแก่ของมนุษย์ 
  แต่ถ้าไม่ต้องการให้ผิวหนังเหี่ยวย่น  ก็อย่าลืมเพิ่มไวตามิน E  และไวตามิน C  ให้มาก ๆ  เข้าไว้   ไม่ต้องกลัวว่าจะมีมากเกิน  (E  ถึงวันละ ๔๐๐ หน่วยยังได้เลย)   แต่สำหรับไวตามิน C แล้ว  มาก ๆ
ไว้ดีกว่า (เคยบอกไว้แล้ว ว่า ดร. ลีนุส พอลลิง นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก เคยทานไวตามิน C  ถึงวันละ ๑๘,๐๐๐ มิลลิกรัม  ท่านอยู่รอด ชนะมะเร็งได้ถึง  ๒๐ ปี  ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุ  ๙๓ ปี)  อย่าลืมที่บอกไว้แล้วว่า ไวตามิน C เป็นตัวสร้างโปรทีน “คอลลาเจน”  ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกาะเกี่ยวกล้ามเนื้อ (Connective tissue) ใต้ผิวหนังให้ยืดหยุ่น  ไม่กระด้าง  แล้วจะไม่เหี่ยว  หรืออย่างน้อยก็เหี่ยวช้า
  รู้ไว้ย่อ ๆ ว่า โพรทีน Collagen นี้ เกิดจากไวตามิน C ทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโนโพรลีน  ทำให้เกิด ไฮดรอกซี โพรลีน     (เจ้า ไฮดรอกซี โพรลีน ตัวหลังนี้ ร่างกายต้องสังเคราะห์ขึ้นมาเอง  โดยแปรรูปมาจากโพรลีน)   แล้วเจ้าไวตามิน C พระเอกของเรานี่แหละ ร่วมกับ โพรลีน และ ไฮดรอกซี่ โพรลีน   ช่วยกันสร้างคอลลาเจนที่สมบูรณ์ได้  หมั่นเพิ่มไวตามิน C เข้าไว้เถอะครับ  แล้วจะยิ้มได้อย่างไม่กลัวย่น
  พูดถึงไวตามินแล้ว  ก็อดไม่ได้ที่จะขอบอกว่า  ควรทาน ไวตามิน B รวมเป็นปะจำ  เพราะเป็นยาอายุวัฒนะที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพง  ที่สำคัญก็คือ  เขาพบว่า  ไวตามิน B  รวม เป็นตัวสำคัญที่ไป
ขจัด โฮโมซีสเทอีน  ซึ่งเป็นตัวร้ายที่ทำให้ผนังหลอดโลหิตขรุขระ  ซึ่งทำให้คอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) เกาะผนังหลอดโลหิต – ถ้าเป็นหลอดโคโรนารีจนถึงอุดตันก็อาจตายได้)   แต่ถ้าทานไวตามิน B มาก ๆ ก็อย่าทานยาแก้ปวดตระกูลพาราเซตามอลเชียวนะ  มันเป็นตัวแก้พิษของพาราเซตามอล
อาหารที่ได้รับการตกแต่ง และที่เจือสิ่งมีพิษ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
 แต่เดิมอาหารที่ได้จากธรรมชาติ ปลอดสารพิษ  แต่ปัจจุบัน เมื่อการผลิตอาหารดำเนินตามกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม  มีการแต่งสี  แต่งกลิ่น  แต่งรส  มีอันตรายเพิ่มขึ้น  หลีกเลี่ยงได้จะดี  
-    ผักสด ส่วนใหญ่ที่ชุบฟอร์มาลิน จะดูน่ารับประทาน  แต่ลองนึกถึงผลของมัน   ถ้าไม่แน่ใจ ควร
      สละประโยชน์บางส่วน  เช่น  ลวกหรือนึ่ง อุณหภูมิถึง  ๔๐ องศาเซลเซียสเมื่อใด ฟอร์มาลินจะ
     ระเหิดหมด  ไม่ตกค้างเป็นพิษ  แล้ว ล้าง-แช่ ในด่างอ่อน  กรดอ่อน ตบท้ายด้วยไอโอดิน จะลด                           
                    ความเสี่ยงต่อสารพิษได้เยอะ        
-     อาหารแป้งที่ทอดน้ำมัน  ที่ใช้น้ำมันซ้ำนาน ๆ   เกิดสาร อะคริลาไมด์ ที่อาจเป็นพิษ ก่อมะเร็งได้
-     เบคอน  ไส้กรอกบางขนาน  แหนม  ที่ใช้สารดินประสิว (Nitrate,  Nitrite  ) สารนี้เมื่อรวม
       กับสาร Amin ในเนื้อสัตว์  จะเกิดสาร Nitro-samin   สารก่อมะเร็งที่ไม่น่าวางใจ  
- อาหารเสริมอาจให้ประโยชน์  แต่ลองคิดเสียก่อน ว่า ประโยชน์ที่ได้นั้นคุ้มกับที่จ่ายไปหรือไม่  
- มีหลักฐานยืนยันว่า ซุปไก่สกัดยี่ห้อหนึ่งขวดละหลายสิบบาท  แต่มีคุณค่าไม่เกินไข่ไก่ครึ่งฟอง
              ตอนปีใหม่ขายดิบขายดีนัก    แต่ก็ยังไม่เท่ากับการเห่อชาเขียวตอนนี้ ชาเขียวนั้นดีจริง  แต่ถ้า
       มัวแต่เชื่อคำโฆษณาที่หลอกให้หลง เราก็จะดื่มชาเขียวราคา  ๓  บาท ในราคาขวดละเกือบ 
       ๒๐  บาท กันต่อไปไม่รู้จบอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้แหละ
              -      คอลลาเจน ที่ผสมในเครื่องสำอางที่จะทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังยืดหยุ่นไม่กระด้าง แล้วจะไม่
       มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ไม่มีรอยตีนกา  มีคอลลาเจนผสมจริง  แต่จะไม่ได้ผลเลย ถ้าไม่ผสมเซรัมบาง
        ตัวลงไปด้วย  แต่ส่วนใหญ่ของเครื่องสำอางเหล่านี้ไม่ผสมกัน เพราะเซรัมทุกตัวแพงมาก   ถ้า
        ผสมแล้วไม่มีใครซื้อเพราะแพงเหลือเกิน  ใครซื้อชนิดที่ราคาถูก ๆ มาใช้ ก็จะเสียเงินเปล่า  ลอง   
        ทาน มะขามป้อม  ฝรั่ง  และส้ม ตามที่ได้แนะไว้ก่อนนี้แล้ว ก็น่าจะได้ผลดีและประหยัดด้วย
-  เนื้อสัตว์ย่างด้วยความร้อนสูง อามีนของเนื้อสัตว์เจอความร้อนสูงจะเกิดสาร HCA ซึ่งเป็นตัวเร่ง  
        ให้เกิดมะเร็ง  สารตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อที่ไหม้เกรียมเท่านั้น แต่อยู่ในส่วนลึกในเนื้อ  ฉะนั้น  เพียง
         แต่ขูดส่วนที่ไหม้ทิ้งก็ยังไม่หมดอันตราย การปรุงเนื้อสัตว์ควรทำให้สุกด้วยกรรมวิธีที่ไม่ใช้
         ความร้อนสูงจะดีกว่า  ท่านเคยสังเกตไหมว่า เนื้อสัตว์ที่อบด้วยเตาอบความร้อนต่ำนาน ๆ   
         เนื้อจะนุ่มน่าทานมาก   การตุ๋นก็ทำให้เนื้ออ่อนนุ่มน่าทานเช่นเดียวกัน
การควบคุมน้ำหนักโดยวิธีง่าย ๆ ตามธรรมชาติ 
                     การรับประทานอาหารไม่มากเกินไม่น้อยเกิน รู้ว่าอาหารอะไรจะให้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดโทษ  บางคนยกเว้นอาหารบางมื้อไปเลย  (พระภิกษุไม่ฉันภัตตาหารหลังเที่ยง  ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับชาวยุโรปในสมัยโบราณ ที่ไม่ทานอาหารหลังเที่ยงไปแล้ว Supper คืออาหารมื้อเที่ยงวัน) ใครจะยกเว้นอาหารมื้อใดก็ได้ แต่อย่าเว้นอาหารมื้อเช้า  เพราะเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกาย   ยิ่งพวกที่เว้นมื้อเช้าแต่ไปหนักมื้อเย็น
ด้วยแล้ว ควรจะต้องทบทวนดูบ้าง  ก็คงเหมือน ๆ กับการออกกำลังกายด้วยการวิ่งตอนเช้านั่นแหละ  เดี๋ยวนี้เขารู้กันแล้วว่ามันเป็นอันตรายมากกว่าเป็นคุณ
  ลองพิจารณาสัดส่วนของอาหารแต่ละมื้อต่อไปนี้ 
  ๑.   มื้อเช้า  หนักที่โปรทีน ประมาณ  ๒๐ %  ของอาหารทั้งวัน   อาหารอื่นเป็นเพียงส่วน
         ประกอบ  โปรทีนดีที่สุดก็คือปลา   แต่อย่าทานปลาทอด  โอเมก้า - 3  จะสูญสลายไป
หมดจากการทอด ไม่ว่าจะด้วยน้ำมันอะไร  ถ้าทานเนื้อสัตว์จะต้องใช้เวลาย่อยนานมาก   
เนื้อบางชนิดใช้เวลาย่อยถึง ๖ ชั่วโมง  ควรทานมะละกอดิบ  (ส้มตำมะละกอ)  และ
สับปะรดด้วยช่วยย่อยได้ดี  แถมยังได้เซโรโทนิน ที่ทำให้ไม่อิดโรยด้วย  (ผู้เขียนเป็น
โรคเก๊าท์อย่างแรง จึงทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆ น้อยลง แต่ทานปลาเสมอ   ส่วนที่ขาดไม่ได้
 คือไข่ไก่วันละ ๔ ฟอง เป็นประจำ โดยไม่กลัวโคเลสเตอรอล  เพราะปลาให้โอเมก้า - 3   อย่างสม่ำเสมอและมากพอที่จะสร้างสมดุลของโคเลสเตอรอลได้    แต่อย่าทานปลาทอด 
     เพราะการทอดทำให้สูญเสีย  โอเมก้า -  3   ถ้าทานปลาไม่มากพอ ก็ทานน้ำมันปลา
     (Fish oil)  ชดเชยให้เพียงพอ )
  ๒.    มื้อกลางวันประกอบด้วย   คาร์โบไฮเดรตประมาณ ๑๕ %   และไขมัน  ๕ %
 อื่น ๆ  เป็นส่วนประกอบ  ที่สำคัญ คือ น้ำมันอะไรก็ได้ วันละ  ๔ ช้อนโต๊ะเท่านั้น
๓.  มื้อเย็นประกอบด้วยผักและผลไม้หลากหลายชนิด  รวมประมาณ  ๖๐ %  ของอาหาร
 ทั้งวันจะได้ผล   สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดี   ประโยชน์ทางโภชนาการก็ดีด้วย   แต่
           ถ้าใครอดทานข้าวไม่ได้สำหรับมื้อเย็น  บางคนต้องขนมไทยหวาน ๆ ตอนค่ำด้วย  ก็
                                    ลองหาส้มแขกมาทานดูบ้าง  เพราะส้มแขกมีสารสำคัญ คือ  Hydroxy citric acid 
                                    ซึ่งจะไปคุมไม่ให้แป้งและน้ำตาลผันไปเป็นกลูโคส  ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้ออกเป็นพลังงาน
                                    จะกลายไปเป็นไขมันสะสมอยู่ในที่ต่าง ๆ  ที่จะทำให้อ้วน  แต่เจ้าส้มแขกจะผันแป้ง
                                    และน้ำตาลส่วนเกินนั้นให้กลายไปเป็นอัณยรูปหนึ่งของคาร์โบไฮเดรต  ที่เรียกว่า
                                    Glycogen  สะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ เป็นพลังงานสำรอง  เมื่อไรร่างกายต้องการ
                                    ก็จะใช้ประโยชน์ได้ทันที   แม้แต่เมื่อออกกำลังกายตอนเช้าก็จะใช้พลังงานส่วนนี้ได้
                                    โดยไม่มีอันตราย    แต่อย่าลืมว่า ส้มแขกไม่สามารถไปลดหรือคุมไขมันอื่น ๆ ได้ 
         ถ้าไม่ลดอาหารที่ให้ไขมันทั้งหลายตามสมควร  ส้มแขกก็ไม่มีทางเยียวยาได้เลย
 กินเหล้าอย่างไรจึงจะไม่ตายเพราะเหล้า
  ศีลข้อ  ๕  ไม่ดื่มเหล้า   มุสลิมห้ามดื่มเหล้าและห้ามกินหมู   แต่ถ้าไม่มีอาหารใด ๆ เลย  หมูก็ยังกินเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้  แต่เหล้าห้ามเด็ดขาด  แม้ไม่มีเครื่องดื่มใด ๆ เลย ก็แตะต้องเหล้าไม่ได้     ในขณะเดียวกับที่ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า  งานเลี้ยงใดไม่มีเหล้าย่อมไม่ใช่งานเลี้ยง   และคนฝรั่งเศสถือว่าใครไม่ดื่มแชมเปญ
ในขณะที่มีการดื่มอวยพร ถือว่าผู้นั้นทำผิดมรรยาทอย่างร้ายแรง    ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร   คนส่วนใหญ่ก็ยังชอบดื่มเหล้ากันอยู่   ถ้าจะยังดื่มกันต่อไป ก็ควรจะดื่มให้เป็น   แต่ถ้าไม่ดื่มเหล้าได้จะดีที่สุด
  อัลกอฮอลเป็นพิษ  เมื่อไรดื่มเหล้า  เซลล์ของตับจะทำหน้าที่ย่อยสลายอัลกอฮอลทิ้ง  โดยจะหยุดย่อยอาหารอื่น ๆ หมด  ยกเว้นเนื้อสัตว์บางประเภท   และตับของคนไทยจะย่อยอัลกอฮอลทิ้งได้เพียงประมาณชั่วโมงละ  ๗  กรัม   ถ้าดื่มเหล้ามากและทานอาหารมากด้วย   ตับย่อยไม่ทัน  ก็จะเกิดอาการเมาค้าง (Hang over)    ถ้ามีอาการนี้ห้ามดื่มถอนเมาและอย่าทานอาหารใด ๆ จนกว่าจะรู้สึกหิว  ซึ่งแสดงว่าร่างกายกลับเข้าสู่ระบบปกติแล้ว
  ที่สำคัญยิ่ง คือ ในการย่อยสลายอัลกอฮอล  จะเกิดสารเคมีตัวหนึ่งเป็นผลพลอยได้ เรียกว่า
อาซิโทนัลดิไฮด์   ซึ่งมีพิษเป็น  ๒๐๐  เท่าของอัลกอฮอล   เซลล์ของตับจะตายทันที  ตับจะลีบลง  นั่นก็คือ
ตับแข็ง     ถ้าตับแข็งถึงขนาดย่อยอาหารเป็นประโยชน์ไม่ได้และย่อยสลายสารพิษไม่ได้ด้วย  ตับจะเริ่มบวมถ้าถึงขั้นนี้ อย่าประมาท  ต้องเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ  รีบติดต่อวัดไว้ล่วงหน้า  คงจะต้องใช้บริการของวัดแน่  วิธีหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายจากการดื่มเหล้าดังกล่าวคือ  ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องรับประทานเนื้อสัตว์ด้วยเสมอ  เพราะกรดอะมิโนจากโปรทีนจากเนื้อสัตว์จะไปช่วยย่อยสลายอัลกอฮอลทิ้งแทนตับ  และถ้าทำปฏิกิริยาเป็นหมู่ เซลล์ของตับพลอยตายไปด้วย  กรดอะมิโนเหล่านี้ยังสามารถสร้างเซลล์ตับขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปแล้วได้บางส่วนด้วย    กับแกล้มที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์จะไม่สามารถช่วยได้เลย    ฉะนั้น  ใครถือปฏิบัติมังสวิรัติแล้วดื่มเหล้าถือว่าเสี่ยงตายโดยสมัครใจ
  ยังมีวิธีอื่นที่ควรพิจารณาปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก  คือ
๑. ใน  ๑  สัปดาห์ ถ้าดื่มเหล้า  อาจดื่มได้ถึง  ๕ วัน  แต่ต้องหยุด  ๒ วัน ให้ตับพักผ่อน
๒. ดื่มคนเดียว  ไม่ว่าเหล้าอะไรที่แรงถึง  ๔๐ ดีกรี  หมด  ๑  กั๊กใน  ๑ วัน พอได้  แต่ถ้าดื่มหมดถึงครึ่งขวด คนเดียว ในหนึ่งวัน  มากที่สุดแล้ว   และถ้าดื่มหมด  ๑ ขวด คนเดียวในวันเดียว  รับรองว่าไม่กี่ขวดตายแน่
๓. อย่าดื่มเหล้าที่แรงเกิน  ๑๕  ดีกรี  เพราะเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์ทนไม่ได้  ต้องผสมให้เจือจาง  จะผสมด้วยน้ำโซดาหรืออื่น ๆ ก็ได้
๔. เหล้าไทยอย่าดื่ม   เพราะไม่ได้ขจัดสารพิษ เช่น  ฟอร์มัลดิไฮด์  และไขมันอุดตัน (Fusal oil)  ออกเลย
 วิธีปฏิบัติเพื่อเพิ่มเส้นผม
  ตามปกติ เรามีเส้นผมอยู่ประมาณ  ๑๐๐,๐๐๐ เส้น  ร่วงวันละประมาณ ๑๐๐ เส้น แต่เกิดใหม่ขึ้นทดแทนอยู่เรื่อย ๆ   จนสังเกตไม่ได้    แต่พอล่วงวัยขึ้น ชายบางคนผมจะร่วงมากขึ้นและร่างกายสร้างเส้นผมใหม่ขึ้นทดแทนไม่เพียงพอ   
เมื่อประมาณ  ๑๐  ปีมาแล้ว ได้มีการประกวดการปลูกเส้นผมที่ประเทศอังกฤษ ชายคนหนึ่ง
ชื่อ  Mr. James Olham  สมัครเข้าประกวด  ใช้เวลาปฏิบัติอยู่  ๑๘  เดือน เส้นผมเพิ่มขึ้น  ๖๐ % โดยปฏิบัติ  ๕  ข้อ ต่อไปนี้
๑. ไม่ดื่มกาแฟ  ชา  และน้ำอัดลม  กับไม่สูบบุหรี่
๒. ดื่มน้ำแร่ทุกวัน  ๆ ละไม่น้อยกว่า  ๑.๕  ลิตร
๓. รับประทานผลไม้หลากหลายชนิด  รวมแล้ววันละไม่น้อยกว่า  ๕  ถ้วยหวาน
๔. รับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสีสูงเป็นพิเศษ(สังกะสีเป็นตัวสร้างโปรทีนที่สำคัญ
มีมากในอาหารทะเลจำพวกหอย โดยเฉพาะหอยนางรม  แต่ระวังไว้ หอยทั้งหลายมีโลหะหนักปนเปื้อนมาก  เมล็ดฟักทอง และเนื้อสัตว์  ผมทานเป็นแคปซูลเลย  แม้ร่างกายต้องการน้อย  แต่ขาดไม่ได้ เพราะสังกะสีบำรุงสมองดีมาก  สร้างภูมิคุ้มกันโรค
ต่าง ๆ ใครมีสังกะสีในตัวจะไม่เป็นหวัด  ทั้งอยู่เบื้องหลังเรื่องสำคัญ เช่น คุมต่อมลูกหมากได้ดี  และอยู่เบื้องหลังสมรรถภาพทางเพศอย่างสำคัญด้วย   และควรจะรู้ด้วยว่า สังกะสีและซีลีเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สเปิร์มขาดไม่ได้เลย)
๕. ก้มศีรษะให้ศีรษะจรดพื้น เพื่อให้โลหิตลงไปเลี้ยงส่วนศีรษะ ถ้ายกเท้าขึ้นสูงแบบโยคะก็อาจได้ผลยิ่งขึ้น  ปฏิบัติเช่นนี้วันละ  ๒  ครั้ง  ๆ ละ  ๓ -  ๔  นาทีปฏิบัติอยู่  ๑๘  เดือนได้ผล   ลองพิจารณาปฏิบัติดู  ดีกว่าเสี่ยงกินยาประเภทฮอร์โมนบางชนิด  ซึ่งมีผลเพิ่มเส้นผมได้ก็จริง แต่จะทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหมด  อย่าเสี่ยงดีกว่า  (อีกไม่นาน อย. อเมริกันน่าจะอนุญาตให้ผลิตยาชนิดหนึ่งที่ทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นโดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียสมรรถภาพ  ออกจำหน่ายได้  รอกันอีกหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังเลย)
หมายเหตุ   -    ข้อมูลข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้นจากการถือปฏิบัติตามแนวทางที่ได้จากการ 
                        รวบรวมข้อมูล ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ซึ่งหลายเรื่องได้
                         เปลี่ยนแปลงไปเป็นตรงข้ามกับหลักการเดิม  และเมื่อปฏิบัติแล้วได้ผลจริง จึงได้
           นำมาบันทึกไว้ เผื่อท่านที่สนใจจะพิจารณานำไปเลือกลองปฏิบัติดูบ้างตามสมควร 
           แต่โปรดนึกถึงคำว่า ลางเนื้อชอบลางยาด้วย      
     -     เอกสารนี้ไม่ได้อ้างแหล่งที่มาของข้อมูล และไม่ถือว่าเป็นเอกสารทางวิชาการ   แต่
            พร้อมที่จะชี้แจง อธิบายรายละเอียดประกอบให้กระจ่างขึ้นได้เสมอ